สรุปข่าววงการการ์ตูนประจำปี 2559 (1): เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ข่าวสำคัญ วงการการ์ตูนประจำปี 2559

ปี 2016 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการหลั่งไหลของผู้อพยพตะวันออกกลางยังยุโรป , ศึกเลือกตั้งสหรัฐ , สงครามเดือดระหว่าง IS กับ รัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อโลกหลายด้าน.....ในส่วนของบ้านเรานั้น ออกจะเป็นปีที่ครบรส ออกไปทางวุ่นวาย ด้วยดราม่าเล็กใหญ่จากคนธรรมดา จนถึงคนใหญ่คนโต แต่ที่แน่ๆเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินกับความยุติธรรมในบ้านเมือง ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไป พร้อมกับได้เห็นสันดานความเน่าเฟะของกลุ่มคนบางกลุ่มโดยเฉพาะพวกมีอำนาจ มีเงิน ที่ไม่ค่อยจะยอมรับผิดกัน ซะจนบางคนหยิบเอาการ"กราบ" ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ออกจะเป็นการการยกตนข่มท่านซะมากกว่า

นอกนั้นมีข่าวบันเทิงบ้าง ทั้งปาหี่ DSI กับ วัดจานบิน เอย ,ค่าอาหารแสนแพงบนทริปฮาวายเอย , การใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในทางบ้าบอไม่สร้างสรรค์ ต้องหงายการ์ดพกการ์ด 'รู้เท่าไม่ถึงการ' อยู่หลายครั้งหลายครา ,ผลงานทีมฟุตบอล ฟุตซอล และนักกีฬาโอลิมปิคไทย ที่สร้างความสุขมาให้โดยตลอด แต่ที่สำคัญ ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการสูญเสียของบุคคลสำคัญหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 หลังทรงครองราชย์มานานถึง 70 ปี อันเป็นความเศร้าโศกเสียใจของคนไทยทั้งแผ่นดิน และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชาวไทยหลายคนที่กลายเป็นคนสองแผ่นดินแล้ว ในปี พ.ศ. นี้ .........ขอให้ในหลวง รัชกาลที่ 10 ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.............

ในส่วนของข่าวคราวในวงการการ์ตูน รอบปี 2016 ก็มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นหลายอย่าง ก็เลยถือโอกาสขอเก็บรวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในวงการการ์ตูนประจำปี 2016 มาสรุปกันให้ได้รับทราบพอสังเขป ในตอนแรกนี้ จะเป็นการสรุปข่าวและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูนตลอดทั้งปี 2016
ส่วนตอนสอง จะเป็นการสรุป LC - อนิเม และ สื่อที่เกี่ยวข้องในบ้านเรารอบปี 2016 ครับ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปทบทวนกันเลยครับ!!!

อ่านตอนที่ 2 >>>

สำนักข่าว K-D News (kartoon-discovery.com)
สามารถอัพเดทข่าวสารเว็บเราได้ผ่าน Twitter และ Facebook


หากนำข่าวจากเราไปเผยแพร่ที่อื่น รบกวนใส่เครดิตให้กับทางเราด้วยครับ ขอบคุณครับ


   เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ข่าวสำคัญ วงการการ์ตูนประจำปี 2559

   ครื้นเครงแห่งปี .....Kadokawa รุกคืบเข้าสยามประเทศอย่างจัง + ร้านค้ามังงะ-อนิเม จากญี่ปุ่น บุกเบิกเปิดที่ไทย!!

หนึ่งในข่าวที่คอยสร้างความสุข ความฮือฮาให้แก่คอการ์ตูนบ้านเราตลอดทั้งปี 2016 คงจะเป็นการบุกเบิกเข้ามาทำธุรกิจอย่างจริงๆจังของ Kadokawa บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสิ่งพิมพ์ของญี่ปุ่น ซึ่งการมาของ Kadokawa นั้น ก็มีสัญญาณมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 เมื่อพวกเขาได้จับมือกับสนพ.พันธมิตรอย่าง Shueisha , Shogakukan , Kodansha ในการเป็นตัวตั้งตัวตีในการนำร้าน Animate ร้านค้าสินค้าที่ระลึกลิขสิทธิ์จากการ์ตูนอนิเมดัง ที่มีอยู่หลายสาขาในญี่ปุ่น มาเปิดสาขานอกประเทศ ณ กรุงเทพ ประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บน ชั้น 7 ของห้าง MBK (มาบุญครอง) โดยการเปิดร้าน Animate สาขาประเทศไทยนั้น ก็มีเป้าหมายอย่างหนึ่งนั่นคือ การขจัดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ที่กำลังเรื้อรังในไทย รวมถึงยังเล็งเห็นว่า ไทยนั้น เป็นตลาดการ์ตูนที่กำลังเติบโต และคอการ์ตูนบ้านเราก็พอมีกำลังการซื้อเสียด้วย

Animate สาขากรุงเทพ เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2016 ...ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ของร้านสาขานี้ ก็ได้รับการตอบรับจากคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชมซื้อสินค้า รวมถึง กิจกรรมอีเว้นต์ต่างๆ ที่เรียกลูกค้ามากันเต็มร้านเลย ไม่เพียงแค่นั้น ร้าน Animate กทม. ยังเป็นหนึ่งในจุดสนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ด้วยเช่นกัน โดยรวมก็ถือว่าทางร้านเอาตัวรอดไปได้ ท่ามกลางความวิตกกังวลของใครหลายคนๆในช่วงที่ร้านเปิดตัวใหม่ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่ลงตัวนัก ทั้งราคาสินค้าที่หลายคนมองว่าสูงเกินไป (ทั้งๆที่เรตนั้นค่อนข้างจะมาตรฐาน) รวมถึง สถานที่ตั้งของร้านค่อนข้างจะเป็นมุมอับผู้คน (แต่ยังดีที่ตั้งในโซนใกล้เคียงกะร้านเกม เมดคาเฟ่ เลยกลายเป็นการสร้างจุดขายของโซนนี้ที่มีกลิ่นอายคล้ายกับย่านอากิฮาบาระของญี่ปุ่น ไปในตัว)

นอกจากร้าน Animate แล้ว Kadokawa ยังรุกคืบทำธุรกิจเกี่ยวกับการ์ตูน-อนิเมเพิ่มเติมในไทย ด้วยการเปิดตัวโรงเรียนสอนการทำอนิเมชั่นและการออกแบบ Kadokawa Animation and Design School เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการวาดมังงะ กับ การออกแบบตัวละครการ์ตูนของคนท้องถิ่น ซึ่งสาขาประเทศไทยนั้น จัดเป็นสาขาที่ 2 ของโรงเรียนที่ตั้งในต่างประเทศ ต่อจาก สาขาไต้หวัน, สตูดิโออนิเมชั่น , รวมถึง ข่าวที่สร้างความสั่นสะเทือนวงการสิ่งพิมพ์ในเมืองไทย ด้วยการจับมือกับ สนพ.อมรินทร์ ร่วมกันจัดตั้งบริษัท Kadokawa Amarin ขึ้น เพื่อร่วมกันขยายศักยภาพของคอนเทนท์ต่างๆของเครือ Kadokawa ในไทย ที่มีตั้งแต่การผลิตสื่อในรูปแบบไลท์โนเวล การ์ตูน และแอนิเมชั่นในภาษาไทย รวมทั้งพัฒนาระบบข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น และสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการที่ Kadokaw ตัดสินใจเลือก อมรินทร์ มาเป็นพันธมิตรกันนั้น ก็เพราะ อมรินทร์ เป็นสนพ.เก่าแก่ มีประสบการณ์ด้านสื่อสิ่งพิมพ์ในไทยมานาน รวมถึง Kadokawa เล็งเห็นว่า ไทยเป็นตลาดสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Kadokawa Amarin ได้ทำการเปิดค่ายหนังสือของตัวเองออกมาแล้ว ในชื่อ Phoenix Next พร้อมกับเปิดตัว LC การ์ตูน-ไลท์โนเวลจำนวนหนึ่ง ที่เรียกได้ว่า เป็นสนพ.น้องใหม่ที่ได้รับการจับตามอง และสร้างความหวั่นเกรงให้แก่สนพ.คู่แข่งหลายค่ายที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกับเรื่อง LC กับ คุณภาพหนังสือ นั้นแทบจะหายห่วงเลย!!!!

นอกจากในปีนี้ บ้านเราจะได้ต้อนรับการมาของ Kadokawa แล้ว บ้านเรายังได้ต้อนรับการมาเปิดสาขาที่ไทยของ One Piece Mugiwara Store ร้านสินค้าที่ระลึกจากการ์ตูนวันพีซ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ชั้น 2 ของห้าง Gateway Ekamai กทม. โดยเป็นสาขาต่างประเทศ สาขาที่ 2 ของร้านนี้ ต่อจาก ไต้หวัน เมื่อปี 2015 อีกทั้งยังได้ต้อนรับการมาเยือนประเทศไทยครั้งแรก ของ อ.โยอิจิ ทาคาฮาชิ ผู้แต่งมังงะกัปตันซึบาสะ ในคราวโปรโมทฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยการมาในครั้งนั้น ก็มีการเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังหลายๆเรื่อง ทะเงมุมมองเกี่ยวกับฟุตบอลไทย แล้วก็ ที่มาของ 'บุนนาค' ตัวละครคนไทย ที่ปรากฏในการ์ตูนเรื่องนี้ นอกจากนี้ ก็ยังมีนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น ศิลปินจากญี่ปุ่น มาปรากฏตัวตามงานอีเว้นต์ต่างๆในบ้านเรา เป็นระยะๆ............

 

 



  
อหังการ your name ..... ไม่ต้องหลับตาฝัน ทุบรายได้ซะกระเจิง!!!!!

 

ปี 2016 ก็มีหนังอนิเมออกสู่สายตาผู้ชมมากมายหลายเรื่อง ...มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อย คงจะเทใจให้ Kimi no Na wa หรือ your name (หรือ หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ) เป็นสุดยอดหนังอนิเมประจำปีนี้ โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ !!!!! เพราะนับตั้งแต่ที่หนังอนิเมเรื่องล่าสุดจากการกำกับของ มาโคโตะ ชินไค เรื่องนี้ ได้เข้าฉายบนโรงทั่วญี่ปุ่นเมื่อ ส.ค. 2016 นี้เอง ตัวหนังได้ กวาดรายได้อย่างมหาศาล และสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นับจนถึงขณะนี้ ตัวหนังกวาดรายได้ในญี่ปุ่นมากกว่า 20,500,000,000 เยน และจำหน่ายยอดขายตั๋วมากกว่า 10 ล้านใบ โดยทำสถิติครองอันดับที่ 1 ในญี่ปุ่นถึง 12 สัปดาห์ (อันดับ 1 9 สัปดาห์ติดต่อกัน นับตั้งแต่หนังออกฉายครั้งแรก) และด้วยยอดรายได้ขนาดนี้ ก็ส่งผลให้ ตัวหนังทำสถิติ หนังอนิเมรายได้สูงสุดประจำปี 2016 , เป็นหนังอนิเมนอก Studio Ghibli เรื่องแรก ที่ทำรายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านเยน ,หนังอนิเมเรื่องแรกในรอบ 3 ปี ที่ทำรายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านเยน ต่อจาก The Wind Rises อีกทั้งยังกวาดรายได้แซงหน้าหนังดังหลายๆเรื่อง ขึ้นแท่นเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในญี่ปุ่น ในอันดับ 4 , หนังญี่ปุ่น รายได้สูงสุดตลอดกาล อันดับ 2 และ หนังอนิเมญี่ปุ่น ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล อันดับ 2 เช่นกัน โดยเป็นรองเพียง Spirited Away เรื่องเดียวเท่านั้น!!!!!! (หากรวมหนังอนิเมชั่นสัญชาติอื่นๆด้วย เรื่องนี้จะอยู่ที่ 3 เป็นรอง Frozen)

ไม่เพียงแค่ตัวหนังจะกวาดรายได้มหึมาในญี่ปุ่นแล้ว your name ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศแถบเอเชีย ที่ตัวหนังสามารถทำรายได้เปิดตัวเป็นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน,เกาหลีใต้ , ไทย แล้วก็ จีน ซึ่งตัวหนังยังสร้างสถิติเป็นหนังญี่ปุ่นที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาล ทั้งในไทยและจีน อีกด้วย เท่านั้นไม่พอ ตัวหนังยังประกาศศักดาคว้ารางวัลระดับนานาชาติมาประดับจนมันส์มือ ทั้งปูซาน , สเปน รวมถึงอเมริกา กับรางวัล LA Film Critic อีกทั้ง ยังมีโอกาสที่จะติดเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัล Oscar 2017 สาขาภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม อีกด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน กระแสหนังเรื่องนี้ในไทยนั้น ถือว่า เป็นหนังที่มีการตอบรับดีเกินคาด จนกลายเป็นหนังญี่ปุ่นที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาลในไทย ตามที่กล่าวมาข้างต้น โดยบทความบนเว็บไซต์ The Momentum ได้วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้ในไทย ที่ทำให้หนังอนิเมเรื่องนี้ประสบความสำเร็จจนผู้ชมเต็มโรง ประกอบด้วย กระแสปากต่อปากในอินเตอร์เนต, มีการเรียกร้องให้เพิ่มโรงฉายและค่ายหนัง (Major) ก็มีการตอบรับที่ทันท่วงที,มีคนดูแอนิเมชันจากญี่ปุ่นมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา,เป็นแอนิเมชันที่สามารถทะลุกรอบ 'ความเฉพาะกลุ่ม' ออกมาได้ และ ผู้กำกับ ชินไค และจากกระแสของหนังเรื่องนี้ในบ้านเรา ก็ทำให้โอกาสของหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ทั้งหนังอนิเม และ หนังคนแสดงจากการ์ตูน ก็มีโอกาสที่จะได้รับชมกันบนโรงบ้านเรา มากขึ้นเช่นกัน (เห็นได้จากหนังอนิเม Koe no Katachi หรือ รักไร้เสียง ที่มีกระแสเรียกร้องจากแฟนๆให้เข้ามาฉายในบ้านเราเยอะๆ ในขณะที่ your name กำลังออกฉายบ้านเราพอดี ซึ่งตัวหนังรักไร้เสียง ก็จะได้รับชมกันช่วงต้นปี 2017)

และด้วยความฟีเวอร์ของตัวหนังเรื่องนี้ ยังส่งผลถึงสื่อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวหนังเรื่องนี้ ที่ต่างก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉบับไลท์โนเวลนั้น สามารถครองแชมป์ไลท์โนเวลขายดีที่สุดประจำปี 2016 ของญี่ปุ่น ไปแบบไร้คู่ต่อกร อีกทั้ง เพลงประกอบหนังอย่าง Zen Zen Zense ที่ขับร้องโดยวง RADWIMPS สามารถคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำ และครองอันดับ 1 เพลงอนิเมยอดฮิตประจำปี 2016 ของ Billboard Japan ...เท่านั้นไม่พอ สถานที่ต่างๆที่ถูกใช้เป็นฉากหลังในหนังอนิเม มีผู้คนแห่มาเยือนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองฮิดะ ทางตอนเหนือของ จ.กิฟุ ที่ถูกใช้เป็นต้นแบบฉากหลังของบ้านเกิดมิตซึฮะ มีรายได้สะพัดจากการท่องเที่ยวเป็นจำนวนถึง 18.5 พันล้านเยน ซึ่งสถานที่ในเมืองอย่าง สถานีรถไฟ Hida-Furukawa , ศาลเจ้า , ป้ายรถเมล์ร้าง และ ห้องสมุด มีผู้มาเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก รวมถึง บันไดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าศาลเจ้าสึงะ ในเขตโยทสึยะ กรุงโตเกียว ซึ่งถูกใช้ให้เป็นฉากสำคัญของหนังเรื่องนี้ ก็มีผู้มาแวะเวียนมากขึ้นๆ ซึ่งยังรวมถึงบริเวณสถานที่บ้านเกิดของผกก.ชินไคด้วย!!!!!

ปัจจัยความสำเร็จของตัวหนังเรื่องนี้ เอาจริงๆ ก็มาจากการที่ตัวหนังมีคุณภาพความยอดเยี่ยมของจริง ซึ่ง ผกก.ชินไค ทำได้อย่างไม่ผิดหวังเลย ทั้งความละเมียดละไมด้านงานภาพ อันเป็น signature ของผกก.ท่านนี้ เนื้อเรื่องธีมสลับร่าง สลับมิติเวลา ที่ดูเหมือนจะซับซ้อน แต่ด้วยอารมณ์ความโรแมนติคที่ซ่อนเร้นอยู่ ก็ทำให้ตัวหนังสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมโดยกว้าง ไม่ว่าจะเป็น วัยรุ่น/ผู้ใหญ่/คอการ์ตูน หรือ คอหนังประเภทอื่นๆ ที่ได้รับชมแล้วต่างก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับ มิตซึฮะ กับ ทาคิ คู่เมนหลักของเรื่องไปตามๆกัน จนอดที่จะให้กำลังใจแก่คนทั้งคู่จนจบเรื่อง จากความประทับใจที่มีหลังจากรับชมหนัง ก็เลยทำให้เกิดกระแสพูดกันแบบปากต่อปากกันอย่างกว้างขวาง จนกลายเป้นผลงานหนังที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของชินไค

จากความสำเร็จอันเกินคาดที่เกิดขึ้นกับ your name รวมถึงตัว ผกก.ชินไคเองนั้น ก็ทำให้สื่อญี่ปุ่นหลายแห่ง ต่างยกย่องและพากันขนานนามให้ ชินไค เป็น "ฮายาโอะ มิยาซากิ" คนต่อไป ......แต่ถึงกระนั้น ทาง ชินไค เอง ก็รู้สึกถ่อมตน ด้วยการไม่อยากให้ใครต่อใคร เอาตนเองไปเทียบเคียงกับมิยาซากิซะเท่าไหร่ โดยมองว่าเป็นการคาดหวังมากเกินไป ซึ่งแต่ละคนต่างมีวิธีการกำกับหนังในแบบฉบับของตัวเอง รวมถึงตัวเขาก็ไม่ต้องการให้ใครต่อใครเอารายได้หนังมาเป็นตัวชี้วัดความยอดเยี่ยมของตัวเขาเช่นกัน




  Shin Godzilla การกลับมาอาละวาดอย่างยิ่งใหญ่ของ Godzilla ต้นฉบับญี่ปุ่น


ปี 2016 นี้ เรียกว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จอย่างสูงของค่ายหนัง TOHO ของญี่ปุ่น นอกจากพวกเขาจะโกยตังค์มหาศาลจากหนังอนิเม your name แล้ว ก็มีหนังอีกเรื่องหนึ่ง ที่ถือเป็นหมัดเด็ดของพวกเขาในการกวาดรายได้หนังโรง นั่นก็คือ การกลับมาของเจ้าอสูร Godzilla ต้นฉบับญี่ปุ่น ภาคแรกในรอบ 12 ปี กับ Shin Godzilla ( Godzilla: Resurgence) โดยหนังเรื่องนี้ ออกฉายที่ญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อ 29 ก.ค. 2016 และสามารถกวาดรายได้มากกว่า 9 พันล้านเยน สร้างสถิติเป็นหนัง live action ที่กวาดเงินสูงที่สุดในญี่ปุ่น ประจำปี 2016 รวมถึงยังเป็นหนัง Godzilla ต้นฉบับญี่ปุ่นที่มีรายได้สูงที่สุดในบรรดาทุกภาคด้วย โดย หนัง Godzilla ญี่ปุ่น ทั้ง 29 ภาค สามารถจำหน่ายตั๋วได้มากกว่า 100 ล้านใบ ในญี่ปุ่นแล้ว และจัดเป็นหนังคนแสดงญี่ปุ่นเรื่องแรกที่สามารถทำยอดขายตั๋วได้ถึงระดับนี้ โดย TOHO คาดการณ์ว่า จากกระแสตอบรับของ your name กับ Shin Godzilla จะทำให้พวกเขามีกำไรเพิ่มขึ้น 28% ถึงระดับ 33 พันล้านเยน เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ ก.พ. 2017

และจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นของ Godzilla ก็เลยมีการต่อยอดในโปรเจ็คอื่นๆที่เกี่ยวข้องตามมา ทั้งการจัดทำรูปแบบหนังอนิเมญี่ปุ่นเต็มรูปแบบครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยจะได้รับชมกันในปี 2017 อีกทั้ง Godzilla ยังได้ปรากฏตัวบนอนิเมทีวีครั้งแรก กับอนิเมตอนหนึ่งของ Crayon Shinchan

ปัจจัยความสำเร็จที่เกิดขึ้นของ Shin Godzilla ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้แก่ ผกก. ฮิเดอากิ อันโนะ (Evangelion) ที่ทำให้ Godzilla ญี่ปุ่น กลับมาได้อลังการขนาดนี้.....ถึงกระนั้น แฟนๆ ก็มิวายสอบถามถึง ผกก. อันโนะ เกี่ยวกับหนังอนิเมชุดที่ 4 ของ Rebuild of Evangelion ที่เจอโรคเลื่อนมาโดยตลอด ซึ่งจนถึงตอนนี้ เขาให้คำตอบออกมาในทำนอง จะทำต่อ หลังจากเสร็จสิ้น Shin Godzilla เรียบร้อย ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์จากสื่ออังกฤษได้รายงานว่า ภาค 4 ของ Rebuild of Evangelion ได้เริ่มเดินหน้าทำกันแล้ว.......




  One Piece Film Gold & Conan the Movie 20th : บทเรียนค่ายอนิเมไทย กับการแคสดารามาพากย์รับเชิญ!?


 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งแก๊งหมวกฟางของลูฟี่แห่งวันพีซ กับ นักสืบจิ๋วโคนัน(ผู้ไม่คิดจะโต) ต่างก็เป็นซีรี่ย์การ์ตูนที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่คอการ์ตูนบ้านเรามาตลอดหลายปี ซึ่งในปีนี้แฟนๆของทั้งสองเรื่องนี้ก็ได้เฮ เมื่อได้รับชมฉบับหนังอนิเมภาคล่าสุดของทั้งสองเรื่องนี้บนโรงภาพยนตร์บ้านเรา ทั้ง One Piece Film Gold แล้วก็ Detective Conan: The Darkest Nightmare ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ปริศนารัตติกาลทมิฬ (หนังชุดที่ 20 ของโคนัน) ซึ่งหนังทั้งสองเรื่องนั้น ต่างก็ได้รับการตอบรับอย่างเป็นอย่างดีที่ญี่ปุ่น โดย One Piece Film Gold สร้างสถิติ หนังญี่ปุ่นออกฉายเปิดตัวด้วยจำนวนรอบฉายสูงที่สุด ขณะที่ หนังของโคนัน ครองแชมป์หนังญี่ปุ่นทำเงินสูงสุด ครึ่งปีแรก ปี 2016 และทำสถิติเป็นหนังอนิเมโคนันที่ทำรายได้สูงที่สุดในบรรดาหนังทุกภาคของโคนัน

โดย One Piece Film Gold ออกฉายในบ้านเรา เมื่อปลายเดือน ส.ค. ขณะที่ หนังโคนัน ปริศนารัตติกาลทมิฬ ออกฉายช่วง ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหนังทั้งสองเรื่องนี้ ได้สร้างความแปลกใหม่ ด้วยการเป็นหนังอนิเมภาคแรกของแต่ละเรื่อง ที่มีการเชิญดารานักแสดงบ้านเรามาร่วมพากย์เสียงให้ด้วย โดยทางฝั่ง One Piece ได้นักแสดงหนุ่ม ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มาพากย์เสียงเป็น กิล เตโซโร ดาวร้ายประจำหนังภาคนี้ ในขณะที่ ทางฝั่ง โคนัน ได้นักแสดงสาว เมย์ พิชญ์นาฏ สาขากร มาพากย์เสียงเป็น คุราโซ ตัวละครเดินเรื่องประจำหนังภาคนี้ ......ซึ่งการที่ทั้งสองค่าย เจ้าของ LC หนังแต่ละเรื่อง( DEX กับ Tiga) ตัดสินใจเลือกที่จะแคสดารานักแสดงมาร่วมพากย์เสียงด้วย ส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเรื่องของการตลาด ที่ทั้งสองค่ายต้องการที่จะเพิ่มยอดผู้ชมหนังมากขึ้น นอกจากจะได้กลุ่มแฟนการ์ตูนอนิเมของทั้งสองเรื่องที่มีอยู่แล้ว ก็ยังได้กลุ่มแฟนคลับของดาราทั้ง 2 ท่านข้างต้น มาช่วยเพิ่มยอดด้วย

 

ทว่าจากการที่ คุณซันนี่ กับ คุณเมย์ ไม่ได้เป็นนักพากย์อาชีพ ประกอบกับ การแคสติ้งที่ขัดกับบทบาทชัดเจน (เสียงหน่อมแน้มเกินบททั้งคู่) รวมถึง การที่ผู้ชมจำนวนหนึ่ง มีความอคติต่อผลงานการพากย์เสียงของเหล่าดารานักแสดงเป็นทุนเดิม ก็เลยทำให้ฟีดแบ็คของแฟนๆหลังจากรับทราบข่าว ออกไปทางแง่ลบกัน แม้ว่าทั้งคูุ่จะพยายามพากย์เสียงอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากเสียงวิจารณ์สับแหลกของแฟนๆไปได้ .........โดยเฉพาะในรายของ คุณซันนี่ ที่พากย์เสียงเป็น กิล ใน "วันพีซ ภาคทอง" นั้น ต้องบอกว่า อ่วมเลย!!!! เพราะเกิดดราม่าอย่างรุนแรงก่อนที่ตัวหนังจะออกฉาย ทั้งทางเว็บบอร์ด และสื่อโซเชี่ยลต่างๆ โดยเฉพาะในเว็บไซต์ Pantip ก็มีคนตั้งกระทู้ต่อว่าคุณซันนี่อย่างรุนแรง โดยขอร้องให้เขาเอาดีทางด้านการแสดงเพียงอย่างเดียว!!!!! ซึ่งหลายความเห็นก็ออกอาการยี้ ไม่ชอบใจหนังที่มีดารามาร่วมพากย์ และกะจะดูเวอร์ชั่นซับอย่างเดียวโลด!!!! แต่ก็มีบางความเห็นนั้น ก็วิจารณ์เขาอย่างเลยเถิด ถึงทักษะการแสดงของเขานอกเสียจากการพากย์ แต่ที่เด็ดยิ่งกว่า ก็มีคนแนะนำให้เขาไปพากย์เสียงเป็นเรือ'ซันนี่' ซะงั้น!!!!!! ......แม้ว่าทางคุณซันนี่ ได้ตัดสินใจพากย์แกใหม่ทั้งหมด รวมถึงทาง DEX ได้เซอร์ไพรส์แฟนๆ ด้วยการเชิญ น้าต๋อย เซมเบ้ มาร่วมพากย์เสียงให้กับหนังด้วย (ในบท โรดแมกซ์) ซึ่งดูเหมือนจะช่วยลดอุณหภูมิความไม่พอใจของแฟนๆลง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้แฟนๆรู้สึกดีกับคุณซันนี่ จากกรณีดังกล่าว อันเนื่องมาจากบทสัมภาษณ์หนึ่งของเขา ที่ฟังดูแล้วออกจะเป็นการปัดความรับผิดชอบมากเกินไป

เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว พอมาพิจารณาถึงข้อมูลนักพากย์ของตัวหนังต้นฉบับเสียงญี่ปุ่น ก็พบว่า ทั้งหนังวันพีซ กับ โคนัน ต่างมีการใช้ดารานักแสดง มาร่วมพากย์รับเชิญเป็นจำนวนมากมาย และทำติดต่อกันมาหลายภาคแล้ว ซึ่งในส่วนฟีดแบ็คผลงานการพากย์ของดารารับเชิญญี่ปุ่นนั้น ก็คงจะมีทั้งคนชอบ และไม่ชอบปะปนกันไป แต่ที่น่าสนใจก็คือ แล้วทำไมที่นู่นถึงไม่มีกระแสต่อต้านดารารับเชิญกันเลยล่ะ? ......พอมาคิดดูดีๆแล้ว คาดว่าคงจะเป็นเรื่องของระบบการทำงานพากย์ของญี่ปุ่น ที่พวกเขาทำงานกันอย่างหนัก ระหว่างทีมแคสติ้ง ที่คอยคัดเลือกนักพากย์ผู้เหมาะสมกับบทบาทนั้นๆ กับดารานักพากยรับเชิญ ที่ได้รับการเคี่ยวเข็ญ ฝึกฝนอย่างหนัก จนทำให้สามารถพากย์เสียงตัวละครนั้นๆอย่างไหลลื่น...ในส่วนของระบบการพากย์ของเรานั้น ก็อย่างที่หลายคนสัมผัสได้ว่า เป็นระบบการทำงานที่ฉาบฉวยเกินไป (นี่ยังไม่นับบุคลากรนักพากย์บ้านเราที่มีกันน้อยอยู่แล้วนะเนี่ย) ซึ่งตรงนี้ก็ขอฝากเป็นการบ้านแก่บรรดาค่ายลิขสิทธิ์ ที่ควรจะต้องใส่ใจรายละเอียดการทำงานกันมากขึ้น กล่าวคือ จะแคสดารามาพากย์หนังของคุณได้ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมกันระหว่างบทบาทกับความสามารถในการพากย์ที่พวกเขามีอยู่ ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่า บทบาทนี้ ให้ใครคนไหนก็ได้มาพากย์ ไม่งั้นเจอกระแสตีกลับจากแฟนๆ แน่นวลล!!!!!

 


 


  Yuri!! On Ice ..... ส่งไอเย็นรักพาฟิน โดยเหล่าเจ้าชายแห่งลานสเก็ต



ตลอดทั้งปี 2016 ก็มีอยู่อนิเมซีรี่ย์ออกฉายสู่สายตาผู้ชมมากมาย ซึ่งหลายเรื่องก็มีกระแสฟีดแบ็คจากแฟนๆต่างๆกันไป อาทิ Osomatsu-san แฝดหกสุดทะเล้น ส่งความฮากันข้ามปี (ปีที่แล้ว เขียนถึงเรื่องนี้ไปครั้งนึง ขอข้ามไป) , Re Zero ที่ผู้ชมอวยมันส์ตลอดทั้งเรื่อง แถมจอทีเด็ด "หนูเรม" แย่งซีนซะข่มมิด จนพาลคิดว่าชีคือนางเอกจริงๆ (555+),Love Live Sunshine ที่ยังคงสรรหาทำกำไรแก่เหล่าโอตาคุสายไอด้อลอย่างต่อเนื่อง , Dragon Ball Super ยังคงสร้างความมันส์และฮา ประทับใจแฟนคลับรุ่นเก่า ,รวมไปถึงอนิเมซีซั่นล่าสุดของเรื่องดังที่สร้างผลงานดีสม่ำเสมอ เช่น Assassination Classroom โซมะ กินทามะ ไฮคิว นัตซึเมะ เป็นต้น แต่ถ้าจะถามว่า อนิเมเรื่องไหนเป็นเรื่องที่แฟนๆในบ้านเราประทับใจมากที่สุดในภาพรวมนั้น เชื่อว่า เกินครึ่ง คงจะเลือกเอาเรื่องนี้แน่ๆ สำหรับ Yuri!! On Ice

Yuri!! On Ice เป็นอนิเมแนวกีฬาฟิกเกอร์สเก็ต โดยเน้นขายคาแร็คเตอรชายหนุ่มหลากเชื้อชาติ รวมถึงเรื่องราวมิตรภาพระหว่างตัวละครหนุ่มๆไปในตัว ... อนิเม 12 ตอนเรื่องนี้ผลิตโดยสตูดิโอ MAPPA ออกฉายเมื่อ ต.ค. 2016 กับเรื่องราวของ ยูริ คัตสึกิ นักฟิกเกอร์สเก็ตชาวญี่ปุ่น ผู้ขาดความมั่นใจจากผลการแข่งขันอันย่ำแย่ของตนเองในรอบสุดท้ายของ Grand Prix ด้วยความสับสนเกี่ยวกับอนาคตของเขากับการแข่งกีฬาชนิดนี้ เขาจึงตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่คิวชู ซึ่งที่นั่นเอง เขาได้พบกับเพื่อนซึ่งเป็นนักสเก็ต ที่ลานสเก็ตในเมือง เขาจึงถือโอกาสโชว์การเล่นสเก็ตโดยการเลียนแบบท่วงท่าตาม วิคเตอร์ นิกิโฟรอฟ ไอดอลของเขา ซึ่งเป็นถึงนักสเกตมือหนึ่งของโลกชาวรัสเซีย แต่หารู้ไม่ว่า ในขณะที่เขากำลังโชว์ลีลาอยู่นั้น ก็มีคนแอบถ่ายคลิปการเล่นสเก็ตของเขาอัพลงบนอินเตอร์เน็ต ซึ่ง วิคเตอร์ก็ได้รับชมคลิปดังกล่าว ก่อนจะตัดสินใจมาเป็นโค้ชให้แก่ยูริ

หลังจากที่อนิเมเรื่องนี้ออกฉายไปนั้น ก็เกิดกระแสฟีเวอร์สวนทางความหนาวเย็นยะเยือกในหมู่สาวๆอย่างรวดเร็ว นอกจากจะได้ลุ้นเอาใจช่วย ยูริ (ญี่ปุ่น) กับการแข่งขันของเขาแล้ว ก็ยังได้ลุ้นไปกับความสัมพันธ์ระหว่าง เขา กับ วิคเตอร์ ที่มีพัฒนาการในทุกๆตอน แถมยังได้ฟีลความรักอันสวยงามของคู่เมนหลักคู่นี้ จึงไม่แปลกที่ตลอดทั้งเรื่องจะมีการแทรกฉากต่างๆ อันเป็นการเซอร์วิสแก่บรรดาแม่ยกคู่นี้ ให้ชวนจิ้นชวนฟินไปตามๆกัน....ทว่า ฉากสมนาคุณดังกล่าว ก็มีผู้ชมบางส่วน มองว่า เสริมเติมแต่งมากจนเกินงาม ซะจน มองว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้มันเกินระดับการ์ตูนแนว Boy Love ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันทางความคิดของแฟนๆทั้งสองฝ่าย (ก็นานาจิตตังกันไป)

แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อนิเมเรื่องนี้มีกระแสความแรงถึงเมืองไทยด้วย ก็คงจะหนีไม่พ้นตัวละคร "พิชิต จุลานนท์" ตัวละครหนุ่มเข้มชาวไทย ที่ปรากฏตัวในเรื่องนี้ ซึ่งตัวพิชิตนั้น ก็ไม่ใช่ตัวประกอบธรรมดาๆ แต่เป็นถึงตัวละครที่มีบทบาทสำคัญรองจาก 3 ตัวเอกหลัก (ยูริ , วิคเตอร์ , ยูริ พลีเซตสกี (รัสเซีย)) ซึ่งนอกจากเขาจะเป็นเพื่อนร่วมห้องพักของยูริในสมัยเรียนที่อเมริกาแล้ว ในเรื่องก็ได้นำเสนอคาแร็คเตอร์ของพิชิต ที่ค่อนข้างจะสดใส เฮฮา สนุกสนาน (+บ้าเซลฟี่) ตามสไตล์คนไทยแท้ๆ จนทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่มีผู้ชมทั้งไทยและเทศชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่งในเรื่องนี้

นอกจากเรื่องนี้จะเด่นตรงการออกแบบตัวละคร รวมถึงการผูกเรื่องอันลึกซึ่ง อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นโดดเด่น นั่นก็คือเรื่องของการใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ที่ใส่เข้ามาในเนื้อเรื่อง ซึ่งต้องบอกว่า ทีมงานทำได้ดีมากๆ ทั้งการเสิรมเติมแต่งวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ลักษณะนิสัยของนักสเก็ตหลากเชื้อชาติผ่านบทเพลงประกอบการร่ายรำสเก็ต รวมถึง ฉาก หรือ บุคคล ที่มีอยู่จริง ที่ได้มีการนำเสนอในเรื่องด้วย เห็นได้จาก มีการนำเสนอฉากประเทศไทย บ้านเกิดของพิชิต อยู่หลายฉาย ที่ใครหลายคนในบ้านเราเห็นแล้ว ร้องอ๋อกัน ทั้งฉาก Imperial World สำโรง , ฉากรายการทีวีคล้ายกับ 'เรื่องเล่าเช้านี้' รวมถึง การที่ได้เห็น "ท่านนายก" มาปรากฏในเรื่องนี้!!!!! เล่นเอาแฟนๆในบ้านเราพากันอึ้ง และขำกลิ้ง ไปตามๆกัน!!!! อ้อ ไม่ใช่แค่ฉากนะ เรื่องนี้ยังมีการนำเสนอประโยคภาษาไทยสั้น อย่าง "สวัสดีครับ" , "ขอบคุณครับ" ด้วยเช่นกัน

และด้วยเรื่องราวที่เราได้กล่าวมาข้างต้น จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะยกให้เรื่องนี้ เป็นอนิเมที่สร้างความประทับใจแก่คออนิเมบ้านเรามากที่สุดอีกเรื่องนึง ประจำปี 2016 นี้......งานนี้ ก็ต้องยกนิ้วให้แก่ทีมงานอนิเม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผกก. ซาโยะ ยามาโมโตะ ที่ได้ทุ่มเททำอนิเมเรื่องนี้ให้แจ้งเกิดอย่างสุดๆ....จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับเรื่องนี้ เชื่อว่า เราจะได้ติดตามชมการแข่งขันบนสังเวียนน้ำแข็ง กับ ความรัก ของยูริ กันต่อ ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแฟนๆ ก็ต้องติดตามข่าวกันอย่างกระชั้นชิดต่อไป.......

 



  ปิดตำนาน 40 ปี .....ตำรวจป้อมยาม Kochikame ถึงคราปลดประจำการ!!

เรียกได้ว่าเป็นข่าวช็อคที่สุดของวงการมังงะญี่ปุ่นในรอบปี 2016 ก็ไม่ผิดนักหรอก......เมื่อจู่ๆ ซีรี่ย์การ์ตูนเก่าแก่ที่บ้านเราไม่ค่อยจะรู้จักมักจี่ (แต่ก็พอจดจำคาแร็คเตอร์ตัวเอกเรื่องนี้ได้) อย่าง Kochira Katsushika-ku Kamearikouen-mae Hashutsujo หรือ "Kochikame" ที่คอยประจำการเรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้อ่านนิตยสาร Shonen Jump มาตลอดระยะเวลา 40 ปี นับตั้งแต่ปี 1976 จนกลายสภาพเป็นซีรี่ย์การ์ตูนคู่บุญของนิตยสารหัวนี้ ก็ได้ประกาศปิดฉากอย่างสายฟ้าแลบช่วงเดือน ก.ย.!!!!! ซึ่งข่าวดังกล่าว ได้สร้างความประหลาดใจแก่คอการ์ตูนทั่วโลก เพราะในตอนนั้นแทบไม่มีใครเชื่อเลยว่า เรื่องนี้จะจบเป็นกะเค้าด้วย!!!!!!!! แถมในตอนนั้นก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกว่าเรื่องนี้จะจบ นอกเสียจากจำนวนต้นฉบับที่เหลือ มีเพียงพอที่จะรวบรวมให้ครบ 200 เล่ม พอดี!!!!!!

วันที่ 17 ก.ย. 2016 คงจะเป็นวันที่คอการ์ตูนญี่ปุ่นจดจำไปอีกนาน เพราะเป็นวันที่เรื่องนี้ลงตีพิมพ์ตอนสุดท้ายในนิตยสาร Jump ฉบับที่ 42/2016 ไปพร้อมๆกับ มังงะฉบับรวมเล่มที่ 200 แต่จากการที่ตอนจบของเรื่องนี้ ที่ตีพิมพ์ในรวมเล่ม กับ จัมป์เล่มดังกล่าว เป็นตอนจบคนละแบบกัน นั่นเอง ก็ทำให้จัมป์ฉบับดังกล่าว รวมถึง ฉบับรวมเล่มจบ ต่างก็ขายดิบขายดี ชวนแฟนการ์ตูนเก็บสะสมเป็นที่ระลึกเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์มังงะญี่ปุ่นเหลือเกิน ส่งผลให้ทางสนพ.Shueisha ตัดสินใจที่จะรีปริ้นท์ Jump ฉบับที่ 42/2016 เพิ่มเติมจากรอบแรกที่ขายดีจนหมดเกลี้ยงแผง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 48 ปี ของนิตยสารหัวนี้ ที่มีการตีพิมพ์ใหม่อีกด้วย....เรียกได้ว่า นอกจากจะเป็นซีรี่ย์คู่บุญแล้ว ลุงเรียวซัง คิ้วหนา ยังสร้างคุณูปการให้แก่นิตยสารต้นสังกัดด้วยเช่นกัน!!!!

โดยซีรี่ย์การ์ตูนแก๊กของ อ.โอซามุ อากิโมโตะ ที่บ้านเรามักเรียกขานกันว่า "คุณตำรวจป้อมยาม" เป็นเรื่องราวของ คันคิจิ เรียวซือ หรือ เรียวซัง ตำรวจคิ้วหนาโค้ง ขี้เกียจสันหลังยาว ที่มักจะสร้างวีรกรรมสุดป่วนวุ่นวายในชีวิตประจำวัน จนสร้างความฮาให้แก่ใครหลายคน โดยนับตั้งแต่ที่เรื่องนี้ถือกำเนิด เมื่อปี 1976 เป็นต้นมา ได้สร้างสถิติเป็นการ์ตูนที่ตีพิมพ์ยาวนานที่สุดของ Shonen Jump รวมถึงการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีจำนวนฉบับรวมเล่มมากที่สุด ซึ่งปัจจุบัน เรื่องนี้มียอดตีพิมพมากกว่า 150 ล้านเล่มด้วยกัน และจากที่มีจำนวนรวมเล่มมากถึง 200 เล่ม นั่นเอง ก็ทำให้ อ.อากิโมโตะ กับ ลุงเรียวซังได้รับเกียรติสูงสุด ด้วยการ ได้รับการบันทึกสถิติลง Guinness World Record / Guinness Book ในฐานะที่มังงะเรื่องนี้ เป็น 'มังงะซีรี่ย์เดี่ยว ที่มีจำนวนฉบับรวมเล่มมากที่สุดในโลก' รวมถึง รางวัล Kan Kikuchi ครั้งที่ 64 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติคุณที่มอบให้แก่บุคคลผู้ทำคุณประโยชน์แก่วงการ วรรณกรรม , ภาพยนตร์ , ละครเวที , กีฬา , หนังสือพิมพ์ และ การออกอากาศกระจายเสียง

การปิดฉากตำนานตำรวจป้อมยามครั้งนี้ มีหรือที่จัมป์จะอยู่เฉย เพราะได้มีโปรเจ็คเฉลิมฉลองกันตลอดปี อาทิ โปรเจ็คนิยายข้ามเรื่องร่วมกับ Osomatsu-san, Sorcerous Stabber Orphen,. Girls und Panzer,Cheer Boys!!, HaruChika และ Nazutoki wa Dinner no Ato de ("The After Dinner Mysteries") รวมถึง มังงะพิเศษที่เป็นการข้ามเรื่องระหว่างซีรี่ย์การ์ตูนจัมป์ ทั้งเรื่องเก่า และเรื่องปัจจุบัน รวม 11 เรื่องด้วยกัน

อนึ่ง สำหรับการ์ตูนเรื่องนี้ เป็นเรื่องหนึ่งที่มีผู้คนมักจดจำสถิติสลับกันกับมังงะเรื่อง Golgo13 กล่าวคือ Kochikame เป็นเจ้าของสถิติมังงะญี่ปุ่นที่มีจำนวนรวมเล่มมากที่สุด ในขณะที่ Golgo13 เป็นมังงะที่ตีพิมพ์ยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น โดยตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1968 เป็นต้นมา และมีจำนวนรวมเล่มเพียง 181+ เล่ม เท่านั้น...........ซึ่งในส่วนของ อ.อากิโมโตะ ผู้แต่ง Kochikame หลายคนคงสงสัยว่า แล้วเขาจะทำอะไรต่อ หลังจากปิดตำนานมังงะเรื่องฮิตของตัวเอง.... โดยนักเขียนวัย 63 ปี ผู้นี้ ก็ยังคงสร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนต่อไป โดยเขากำลังจะมีซีรี่ย์มังงะเรื่องสั้นจำนวนหนึ่ง รวมถึง มังงะซีรี่ย์เรื่องอื่น ที่เขายังคงค้างคาเอาไว้นั่นเอง ....ที่แน่ๆ การปิดตำนานของ Kochikame นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีของ Jump ที่เกิดขึ้นภายในปี 2016 นั่นเอง................


 




  Season Change on Shonen Jump !!.....การผลัดใบครั้งใหญ่ รอบหลายปีของซีรี่ย์โชเน็นจัมป์


ต่อเนื่องจากการปิดตำนานอย่างสุดช็อคของ Kochikame ที่เกิดขึ้นในปี 2016 นี้เอง....ลำพังอย่าว่าแต่เรื่องนี้จบเลย หากมามองดูซีรี่ย์การ์ตูนเรื่องอื่นๆที่ตีพิมพ์ในจัมป์นั้น บอกเลยว่า ตลอดปีลิงคลั่งนี้ จัมป์ต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายๆปี กับการผลัดเปลี่ยนใบของซีรี่ย์การ์ตูนในนิตยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซีรี่ย์เรื่องดัง เรื่องเก่าแก่ของจัมป์ พร้อมใจกันจบถึง 5 เรื่องเลย นอกจาก Kochikame แล้ว แต่ล่ะเรื่องต่างมีฟีดแบ็คจากผู้อ่านที่ต่างกันไป

  • Assassination Classroom ซีรี่ย์ห้องเรียนลอบฆ่า ที่จบลงอย่างลงตัว ครบทุกรส ทั้งมันส์กับการต่อสู้บทสุดท้าย อารมณ์เศร้าซึ้งกับการจากลา และทิศทางความเป็นไปของลูกศิษย์แต่ละคนของคุณครูโคโระ และจัดเป็นมังงะเพียงไม่กี่เรื่องที่ใช้ตอนจบแบบเดียวกันในทุกเวอร์ชั่น (อนิเม , คนแสดง)

  • Nisekoi ซีรี่ย์รักลวง ที่จบลงอย่างฟิน รวมถึงเกือบจะส่งท้ายเรื่องราวแบบเดือดๆ ที่สร้างความผิดหวังให้แก่กองอวยบางกลุ่มบางก้อน จนดราม่ากันทั้งสัปดาห์ แต่สุดท้ายทีมสาวๆผู้ช้ำรักต่างก็ทำใจกันได้ พร้อมกับแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะตัวจริง..โดยมังงะภาคหลักได้บทสรุป ก่อนที่มังงะภาคแยก Magical Pâtissière Kosaki-chan จะจบลงตามมา

  • Bleach การต่อสู้ของเหล่ายมทูตชุดดำ ก็ถึงคราวบทสรุปจริงๆจัง หลังยืดเรื่องมานานถึง 15 ปี ..แม้ว่าตอนจบของเรื่องนี้จะพยายามจบให้ได้ฟีลใกล้เคียงกับนารุโตะ แต่ก็มิอาจให้แฟนๆพอใจได้ (จากการที่เล่นไม่เคลียร์ปมปริศนาหลายต่อหลายอย่าง รวมถึงบทสรุปคู่รัก ก็ดันออกมาแบบไม่มีปี่ขลุ่ย สมใจบางคน) กลายเป็นตอนจบที่สร้างความผิดหวังแก่แฟนๆทั้งไทยและเทศเป็นจำนวนมาก บ้างก็ถึงขั้นทำลายหนังสือ ทุบแผ่น เผาผีสาปส่งคนเขียนเรื่องนี้ไปอีกนาน.........

  • Toriko แม้พักหลังจะออกตามล่าอาหารแบบงงๆ ตามจินตนาการคนเขียนไม่ค่อยจะทัน แต่อย่างน้อยพี่โกะกล้ามโต สามารถพากลับเข้าฝั่ง พร้อมบทสรุปอย่างสวยงามปนอาร์ตๆ (และพยายามจะไม่ให้ออกสีม่วงจนเกินไป)

 

จากซีรี่ย์ที่จบลงไปข้างต้น ก็ได้สร้างความใจหายแก่นักอ่านผู้ติดตามจัมป์มาอย่างยาวนาน เท่ากับว่า ขณะนี้ จัมป์ จะเหลือซีรี่ย์ดังที่อยู่เกิน 10 ปี เพียง 3 เรื่องเท่านั้น คือ วันพีซ , Hunter X Hunter และ กินทามะ โดยในจำนวนนี้ คุณกิน กำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายพอดี ส่วน HxH ก็ไม่ค่อยลงตีพิมพ์จนเป็นเรื่องปกติ (ไม่รู้ว่า หลังจากตีพิมพ์สั้นๆช่วงต้นปี กะจะทุบสถิติหยุดตีพิมพ์ในจัมป์ต่อเนื่องยาวนานที่สุด มากกว่า 80 เล่ม หรือเปล่า? 555 ) .....เล่นเอาหลายคนถึงกันกังวลถึงสถานการณ์ของจัมป์ในอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร, จะอยู่รอดหรือไม่ ถ้าหากเรื่องอันดับ 1 ในนิตยสารอย่าง วันพีซ จบลง!!? ......ต้องบอกเลยว่า ตรงส่วนนี้ ไม่ต้องกังวลนัก เพราะ สัจธรรม เก่าไป-ใหม่มา เป็นเรื่องธรรมดาของโลก เอาเข้าจริง มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า จัมป์ยังคงมีเรื่องดังๆ มาทดแทนกันได้เสมอ เห็นได้จากสมัยก่อน ก็มีซีรี่ย์อย่าง ดราก้อนบอล อาราเล่ เซนต์เซย่า หมัดดาวเหนือ โจโจ้ เป็นเรื่องดังเป็นตัวยืนพื้น พอต่อมาเรื่องเหล่านี้ทยอยกันจบลง ก็มีเรื่องใหม่กว่ามาทดแทนเรื่อยๆ เช่น สแลมดังก์ , ยูยู, ซามูไรพเนจร ยัน วันพีซ นารุโตะ ฮันเตอร์ฯ ฯลฯ


คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า จัมป์ในยุคสมัยใหม่ ในตอนนี้ จะมีเรื่องไหนที่สามารถสืบทอดความดังจากรุ่นพี่ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งขณะนี้ ก็มีซีรี่ย์ที่พอมีสุ้นที่จะเป็นเสาหลักค้ำยันแบ่งเบาภาระได้ ก็มี ไฮคิว ที่ผ่านการพิสูจน์มาหลายปี , My Hero Academia รวมถึง Black Clover ที่ปัจจุบันกำลังจะทำอนิเมซีรี่ย์เต็มตัว ซึ่งน่าจับตามองว่า เรื่องนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนในปีต่อๆไป.........



   Pokémon Go.....เห่อไล่จับมอนฯ ป่วนโลก!!!

จัดเป็นหนึ่งในเทรนด์ฮิตระดับโลกที่เกิดขึ้นช่วงกลางปี ที่เล่นเอาคนทั่วโลกเห่อกันไปพักนึง สำหรับ Pokémon Go เกมไล่ล่าตามจับตัวโปเกม่อน ที่ถูกพัฒนาโดย Niantic ซึ่งเกมนี้มีความพิเศษตรงนี้ มีการนำเอาเทคโนโลยี GPS ( Global Positioning System ) กับ AR (Augmented Reality ) มาประยุกต์ใช้กับเกม ให้ผู้เล่นสามารถตามหาตัวโปเกเม่อนที่หลบซ่อนอยู่ตามสถานที่ต่างๆที่มีอยู่จริงบนแผนที่โลก!!!! โดยใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟน ประกอบการเล่น...และด้วยความแปลกใหม่ (+โหลดเล่นฟรี)นี้เอง ก็ทำให้ชาวโลกต่างพากันสวมวิญญาณเป็นเทรนเนอร์ ไล่จับโปเกม่อนอย่างเมามันส์ นับตั้งแต่เกมนี้เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ 6 ก.ค. 2016 ที่สหรัฐฯ ,ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ จากนั้นตัวเกมก็ทยอยเปิดให้เล่นในภูมิภาคต่างของโลก ตั้งแต่ ยุโรป , ญี่ปุ่น อเมริกาใต้ ,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะโอเชียเนีย โดยตัวเกมทำสถิตินับว่าเป็นเกมมือถือที่มียอดโหลดมากกว่า 100 ล้านครั้งได้รวดเร็วที่สุด เพียงแค่ 33 วัน เท่านั้น จากการรายงานของ SensorTower

จากกระแสความฮิตของเกมนี้ ก็ทำให้ผู้คนต่างใช้มือถือออกตามล่าโปเกม่อนตามสถานที่ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ...แต่กลายเป็นว่า บางคนก็เล่นเกมนี้กันเลยเถิด จนเกิดความไม่เหมาะสม ไม่รู้จักกาลเทศะ ต่อสถานที่บางแห่งที่ต้องการความสงบและเคารพ รวมถึง ยังก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ที่หลายๆประเทศที่เปิดให้เล่นเกมนี้ ต้องประสบพบเจอ (มีเพียง อิหร่าน ที่ตัดช่องน้อยพอตัว ด้วยการ แบนเกมนี้ ซะเลย)...จากสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้หลายหน่วยงานด้านคมนาคมในญี่ปุ่น ต่างเรียกร้อง Niantic ดำเนินการถอดถอนตัวโปเกม่อน ออกจากบริเวณถนน ทางด่วน ทางรถไฟ พร้อมกับ อกโรงเตือนขึ้นป้ายให้ผู้ขับขี่รถได้รับทราบกัน รวมถึง สถานที่ราชการ สถานที่เที่ยวบางแห่ง รวมถึงสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในหลายๆประเทศ ได้ออกมาตรการจัดระเบียบ ห้ามผู้เล่นมาเล่นเกมนี้ในบริเวณดังกล่าว

แม้ว่า ตัวเกมดูเหมือนจะสร้างความวุ่นวายกันอย่างสุดๆ (เอาเข้าจริงๆ จะโทษที่ตัวเกมอย่างเดียวก็ไม่ถูก หลักๆก็มาจากตัวผู้เล่นด้วย ที่บางคนยังเล่นเกมอย่างไร้สติเกินไป) แต่อย่างน้อยเกมนี้ได้กลายเป็นช่องทางในการประกอบธุรกิจรายย่อยของผู้ประกอบการต่างๆ รวมถึงยังช่วยในการทำแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในบางประเทศ เห็นได้จากที่ญี่ปุ่น ก็มีการนำเกมนี้ไปใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ที่ประกอบด้วย จ.อิวาเตะ, จ.มิยางิ, จ.ฟุคุชิมะ และ จ.คุมาโมโตะด้วย อีกทั้ง ยังเคยมีข่าวว่า ทางกระทรวงท่องเที่ยวของบ้านเรา ก็มีแผนที่จะใช้ Pokémon Go เป็นกลยุทธ์กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ในช่วงที่ Pokémon Go ได้รับความนิยม นั่นคือ เกมๆนี้ ยังทำให้กระแสอนิเม Pokémon ชุด Pokémon XY&Z มีการพูดถึงกันมากขึ้นในบ้านเราเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทสรุปของซาโตชิ ที่พ่ายในลีกใหญ่ซ้ำซากอีกครั้ง ก็ทำเอาผู้ชมบางส่วนอารมณ์เดือด ถึงขั้นตั้งกระทู้ต่อว่าทีมงานอนิเม ที่ไม่คิดจะให้พี่ชิมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเลย กะจะเดินเรื่องวนเวียนซ้ำซาก เพื่อต่อเนื้อเรื่องอนิเมชุดถัดไปอย่าง Sun & Moon ให้จงได้ แต่ถึงกระนั้น Pokémon XY&Z ก็มีบทสรุปที่ค่อนข้างจะฟินไปกับฉากบันไดเลื่อน (ซึ่งมีการนำไปล้อเลียนกันบนอินเตอร์เน็ต) พร้อมกับอารมณ์คิดถึงน้อง เซเรน่า นางเอกประจำภาคนี้ของผู้ชมจำนวนหนึ่ง ก็ทำให้มีแฟนๆต่างพากันลงชื่อเรียกร้องให้ เซเรน่า มีบทบาทในภาค Sun & Moon ผ่านเว็บไซต์ change.org เช่นกัน

ถึงกระนั้นกระแสของเกมนี้เอง จึงทำให้เกิดข่าวขำๆขึ้น ช่วงมหกรรมกีฬาโอลิมปิค 2016 ที่ Rio de Janeiro บราซิล โดยในช่วงก่อนโอลิมปิค 2016 จะเริ่มขึ้น ก็มีนักกีฬาจำนวนหนึ่ง ต่างพากันกระวนกระวายเพราะไม่สามารถเล่นเกมนี้ได้ หรือไม่ก็ ไม่เจอโปเกม่อนแม้แต่ตัวเดียว เนื่องจากในตอนนั้น Pokémon Go ยังไม่เปิดที่บราซิล กว่าจะเปิดจริงก็ วันที่ 3 ส.ค. 2016 ซึ่งหลังจาก Pokémon Go เปิดให้เล่นที่บราซิล ก็มีนักกีฬายิมนาสติกชาวญี่ปุ่น นาม โคเฮย์ อุชิมุระ ดันจับโปเกม่อนซะเพลิน จนบิลค่าโทรศัพท์ของเขาออกมาแพงหูฉี่ถึง 3,700 ปอนด์!!!! (หลักๆเป็นการเสียค่า Data Roaming จากการเล่นเกมนี้) เล่นเอาตัวนักกีฬาถึงกับช็อคตามๆกัน!!!!!!! ภายหลังผู้ใช้บริการมือถือก็รู้สึกเห็นใจนักกีฬาคนนี้ ก็เลยเสนอให้เขาใช้บริการแบบรายวันแทน




  
  ตัวการ์ตูนเกม พาเหรดสร้างสีสัน สู่โอลิมปิค 2020


หนึ่งในสีสันที่ทำเอาคอการ์ตูนทั่วโลกปลาบปลื้มเป็นที่สุด คงจะหนีไม่พ้น พิธีปิดกีฬา Olympic 2016 ที่นคร Rio de Janeiro ประเทศบราซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการส่งมอบธงโอลิมปิคให้แก่ ญี่ปุ่น เจ้าภาคโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งต่อไป ที่จะจัดขึ้นในปี 2020 แน่นอนว่า ทางญี่ปุ่นได้นำเอาโชว์การแสดงมาโปรโมทอลป.ครั้งหน้า ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ และโชว์ของพวกเขาก็ทำออกมาจัดเต็มไม่เหมือนใคร เกินหน้าเกินตาเจ้าบ้านเลย(ฮา) ทั้งในส่วนของเทคโนโลยีการฉายภาพแบบสมัยใหม่ รวมถึง วัฒนธรรม Pop Culture เด่นๆของพวกเขา มาโปรโมทด้วย ซึ่งการ์ตูนอนิเมเกมจากญี่ปุ่น ก็เป็นหนึ่งในนั้น!!!! โดยทางญี่ปุ่น ได้บรรดาตัวการ์ตูนญี่ปุ่นดัง อย่าง โดราเอมอน , กัปตันซึบาสะ , คิตตี้ , แพ็คแมน และ ซูเปอร์มาริโอ้ มาร่วมด้วยช่วยโปรโมท Tokyo 2020 แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุด คาดไม่ถึงมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นการได้เห็นนายก ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น มาปรากฏตัวในมาดของ มาริโอ้!!! โดยโผล่ออกมาจากปล่องท่อประปาเขียวกันเลย!!!! งานนี้ต้องขอบคุณไอเท็ม หมวกแดง ที่ทำให้ท่านนายกแปลกเป็นลุงโอ้ พร้อมกับความช่วยเหลือจากพี่ม่อน ที่มอบท่อประปาเขียว ให้ พณฯท่าน Mario Abe วาร์ปจากกรุงโตเกียวไปยัง ริโอ ได้ทันเวลาพอดี!!!! (ชื่อ มาริโอ้ ก็คล้องจองกับเมือง ริโอ พอดี)

จากโชว์การแสดงบนพิธีปิดอลป.2016 ของญี่ปุ่น ก็ได้รับคำสรรเสริญชื่นชมของคนทั่วโลก สร้างความฟินบันเทิงแก่คอการ์ตูน คนชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปตามๆกัน พร้อมกับเฝ้ารอคอยในอีก 4 ปี ข้างหน้าว่า จะมีตัวการ์ตูนตัวไหน มาปรากฏตัวในพิธีเปิด โตเกียว 2020 กันบ้าง? แต่ถึงกระนั้น โชว์ของญี่ปุ่น ก็ยังถูกบรรดานักการเมืองฝ่ายค้านของญี่ปุ่น รู้สึกตะงิดๆกับเรื่องของงบประมาณ จำนวน 1.2 พันล้านเยน ของรัฐบาล ในการนำไปใช้ไปกับการแสดงในพิธีปิดอลป.ที่ ริโอ จนขอร้องทางสภาขอให้พวกเขาตรวจสอบที่มาของงบ ในขณะที่บ้านเรานั้น ก็มีบางคนหยิบเอาโชว์ญี่ปุ่นดังกล่าว ไปเปรียบเทียบกับ พิธีการในแบบสไตล์ไทยๆ ที่ยังคงอนุรักษ์นิยม ไม่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย รวมถึงถือโอกาสจิกกัดผู้ใหญ่ บ้านเมืองเรา ผู้มีทัศนคติไม่เปิดใจรับวัฒนธรรมการ์ตูนเลย เป็นต้น

โชว์การแสดงบนพิธีปิดอลป.2016 ของญี่ปุ่น ยังคงมีควันหลงต่างๆ ตามมา ทั้งตั้งข้อสงสัยต่างๆนานาบ้าง ว่า ทำไมโดราเอมอนถึงไม่งัด 'ประตูไปไหนก็ได้' ให้มาริโอ้ได้ใช้ ซึ่งเร็วกว่ามุดท่อเยอะ !!! รวมถึง ประเด็นที่ ทำไมถึงไม่มี Pokemon Go อยู่ในโชว์เลย ทั้งๆที่ ตัวเกมกำลังอยู่ในกระแสฮิตทั่วโลกในขณะนั้น โดย Buzzfeed Japan ได้ยกเอาคำตอบจากคณะผู้จัดโอลิมปิค โตเกียว 2020 ว่า โชว์การแสดงของญี่ปุ่นในพิธีปิดที่บราซิลนั้น ได้มีการซักซ้อมเตรียมการกันมาตั้งแต่ ม.ค. 2016 ซึ่งเป็นช่วงเวลา ก่อนที่เกม Pokemon Go จะเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ก.ค. 2016 ซะอีก อีกทั้งมาริโอ้เอง ยังเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลกมากกว่า Pokemon ซึ่งตัววีดีโอเกมทุกภาคของพี่โอ้นั้น ก็มียอดขายทั่วโลกมากถึง 320 ล้านแผ่นด้วยกัน ในขณะที่ เกม Pokemon ทุกภาค มียอดขายทั่วโลกเพียง 200 ล้านแผ่น เท่านั้น

ก็ต้องจับดาดูว่า ในอีก 4 ปี ข้างหน้า โอลิมปิค 2020 ของญี่ปุ่น จะมีรูปร่างหน้าตายังไง แต่แน่ๆ ญี่ปุ่นได้เริ่มเตรียมการโปรเจ็คต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่จะมารองรับ โตเกียว 2020 แล้ว อย่างเช่น การย้ายสถานที่จัด Comic Market (Comiket) ไปเป็นเมืองอื่นแทน จากการที่ Tokyo Big Sight สถานที่เจ้าประจำของงานดังกล่าว จะถูกใช้เป็นศูนย์กลางของการทำงานด้านสื่อมวลชนและการถ่ายทอดสดหลักของกีฬาโอลิมปิค 2020 , การเปิดพิพิธภัณฑ์มังงะแห่งชาติ ก่อนโอลิมปิค 2020 , รวมถึง Super Nintendo World โซนเครื่องเล่นธีม Nintendo บนสวนสนุก Universal Studios Japan เป็นต้น

 


 



   นวัตกรรมเขย่าเกมโลก...การเนรมิตรโลก SAO ให้เกิดขึ้นจริง!!!!

 

นอกจาก Pokemon Go จะออกมาเขย่าชาวเกมเมอร์ไปทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำยุคที่ผสมผสานเข้ากับการเล่นเกมและพฤติกรรมของคนยุคสมัย ก็มีอยู่โปรเจ็คหนึ่งที่ถือว่าเป็นการเขย่าขวัญคอเกมไปทั่วโลก ที่บรรดาขาเกม ขาเกรียนออนไลน์ ฝันอยากจะให้มันเกิดขึ้นจริง กับโปรเจ็คเนรมิตรโลก Sword Art Online ให้เกิดขึ้นจริง โดยบริษัท IBM Japan ซึ่งคราวนี้จะมีการพัฒนาตัวเกมในระบบ VRMMO (virtual reality massive multiplayer online game ) ที่จะเป็นสร้างโลกของเกมออกมาเสมือนจริง สามารถรับรู้ถึงตัวเกมด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่นเดียวตัวเกมในนิยายกับอนิเม SAO โดยโปรเจ็คมีการเปิดการทดสอบตัวเกมแบบ alpha ณ กรุงโตเกียว ช่วง มี.ค. 2016

โปรเจ็คดังกล่าว จะใช้เทคโนโลยี IBM Watson (ระบบประมวลผลการรับรู้) กับ SoftLayer (ระบบ cloud ความเร็วสูง) มาผสมผสานในการสร้างโลก SAO จะช่วยให้ผู้ทดสอบเกมสามารถเข้าสู้พื้นที่โลกเสมือนได้ พร้อมกับติดต่อปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ผ่านตัวละคร avatar 3 มิติ โดยมี "Nervegear Prototype" อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบเล่นเกม (ตั้งชื่อตาม Nerve Gear อุปกรณ์เข้าโลก SAO ตามต้นฉบับนิยาย-การ์ตูน) ประกอบด้วย Oculus Rift (Developer Kit 2) สำหรับในการมองเห็นภาพ VR และจับการเคลื่อนไหวของภาพทิวทัศน์ตามการเคลื่อนไหวของศีรษะ , Leap Motion กับ Overvision สำหรับการควบคุมมือของผู้เล่น, Microsoft Kinect 2 สำหรับการเคลื่อนไหวของร่างกาย, แล้วก็ รองเท้าจัดทำพิเศษ สำหรับการตรวจจับการเคลื่อนไหวของเท้า

แม้ว่าโปรเจ็คดังกล่าว กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง แต่เชื่อเลยว่า คงมีหลายคนๆที่อยากจะให้โปรเจ็คนี้เกิดขึ้นมาจริง และนั่นจะทำให้ การท่องโลกเสมือน โลกเกมออนไลน์ เหมือนดั่งการ์ตูนอนิเมหลายเรื่อง ไม่ใช่เรื่องฝันอีกต่อไป!!!! เฉกเช่นเดียวกับฉากต่อสู้ จินตนาการในโลกการ์ตูน (ดั่งเช่น การดูเอลการ์ดยูกิ จาก Yu-Gi-Oh!) ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกเนรมิตรใกล้เคียงกับต้นฉบับเช่นกัน!!!!

นอกจากโปรเจ็คนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา มีข่าวสารเกี่ยวกับ SAO มากมาย ตั้งแต่ Sword Art Online Ordinal Scale หนังอนิเมชุดล่าสุด(เป็นเรื่องราวใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากบท Mother's Rosario ) เตรียมเขย่าโรงทั่วญี่ปุ่น มากกว่า 150 โรง และออกฉายมากกว่า 1,000 โรง ทั่วโลก วันที่ 18 ก.พ. 2017 อีกทั้ง Kadokawa ไลท์โนเวล SAO สามารถขายได้ถึง 19 ล้านเล่มทั่วโลก โดยแบ่งเป็นยอดขายในญี่ปุ่น 12.5 ล้านเล่ม กับ ยอดขายจากต่างประเทศอีก 6.5 ล้านเล่ม รวมถึง เรื่องนี้กำลังจะถูกสร้างในรูปแบบละครซีรี่ย์คนแสดงอเมริกัน ด้วยเช่นกัน

 



  

  20 ปีแสนหรรษา ความเยาว์วัยยังคงอยู่ : Card Captor Sakura



คิโนโมโตะ ซากุระ สาวน้อยหน้าใส ผู้คอยไล่จับเก็บไพ่โคลว์การ์ดที่กระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ จัดเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงขวัญใจของคออนิเมหลายต่อหลายคนในช่วงยุค 90 แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด เธอยังคงเป็นตัวละครที่มีผู้คนหลงรักเสมอ และแล้วกาลเวลาผ่านล่วงไป จนการ์ตูน Card Captor Sakura ครบรอบ 20 ปี ในปี 2016 พอดี ก็เลยเกิดโปรเจ็คเฉลิมฉลองต่างๆ ออกมามากมาย ทั้ง การรีรันอนิเมซากุระอีกครั้ง กับภาค Clow Card ทางช่องทีวี BS Premium ของ NHK ,หนังสือ Artbook ฉลอง 20 ปี ,
ฟิกเกอร์ Nendoroid ซากุระ รุ่นใหม่ล่าสุด, ฉบับหนังอนิเมมีการฉายรีรันใหม่ ต้นปี 2017 เป็นต้น

นอกจากบรรดาโปรเจ็คเฉลิมฉลองที่กล่าวมาข้างต้น ก็รวมไปถึง มังงะภาคใหมล่าสุดในรอบ 20 ปี ของเรื่องนี้กับ Card Captor Sakura : Clear Card โดยจะเล่าเรื่องราวของ Sakura หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนประถม Tomoeda กลายเป็น เด็ก ม.ต้น ปี 1 ซึ่งเธอนั้นก็ได้ฝันถึงเหตุการณ์ประหลาดๆ นำไปสู่เรื่องราวของภาคใหม่นี้ ซึ่งการมาของซากุระภาคใหม่ ทำเอานิตยสาร Nakayoshi ฉบับก.ค. 2016 ขายดีจนหมดเกลี้ยงแผงซึ่งถือเป็นเล่มแรกของ Nakayoshi ในรอบ 3 ปี กับ 4 เดือน ที่ Nakayoshi ขายหมดไวอย่างรวดเร็ว ต่อจาก Nakayoshi ฉบับ มี.ค. 2013 ที่มีของแถมเป็นเซ็ตอุปกรณ์นักเขียนการ์ตูน แถมมาด้วย

นอกจากแฟนๆจะหายคิดถึงกับการมาของซากุระภาคใหม่ ก็จะได้รับชมภาคใหม่ของเรื่องนี้ในรูปแบบอนิเมซีรี่ย์ เช่นกัน!!! แต่ก็ต้องรอจนถึงปี 2018 นู่นแน่ะ!!!! ...ส่วนบ้านเราก็คงต้องลุ้นให้มีซักเจ้าเอาอนิเมภาคใหม่ เข้ามาตามระเบียบ (ส่วนมังงะ เชื่อว่า คงมีหลายคนคงเชียร์เจ้าอื่น นอกจากค่าย V ให้คว้ามา)



  ธารน้ำใจคนวงการการ์ตูน ที่มีต่อผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวบนเกาะคิวชู

 

ย้อนกลับไปในเดือน เม.ย. 2016 ในขณะที่บ้านเรากำลังอยู่ในช่วงแห่งความหรรษาของเทศกาลสงกรานต์นั้น ที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยบนเกาะคิวชู กลับต้องเผชิญกับความเลวร้ายที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ บริเวณจังหวัดคุมาโมโตะ ในช่วงวันที่ ในวันที่ 14 เม.ย. กับ 16 เม.ย. 2016 และด้วยแรงสั่นสะเทือน 6.2 ริกเตอร์ กับ 7.3 ริกเตอร์ ตามลำดับ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 42 คน บาดเจ็บอีก 1,500 คน และ สูญหายอีก 9 คน เท่านั้นไม่พอ ยังได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน ทรัพย์สิน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงยังทำให้ภูเขาไฟอาโสะเกิดการปะทุขึ้นอย่างรุนแรง และแน่นอนว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจของชาวเกาะคิวชู ไม่เว้นแม้แต่นักเขียนการ์ตูนสองท่าน ที่เกิดบนเกาะคิวชู อย่าง อ.เอย์อิจิโระ โอดะ ผู้แต่ง วันพีซ (จ.คุมาโมโตะ) กับ อ.ฮาจิเมะ อิซายามะ ผู้แต่ง ผ่าพิภพไททัน (จ.โออิตะ) ก็รู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกัน

จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งดังกล่าว ก็ได้ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน ไม่เว้นแม้แต่วงการการ์ตูนอนิเม ซึ่งก็มีตั้งแต่ เจ้าหมีดำ Kumamon มาสค็อตดังประจำจังหวัดคุมาโมโตะ ได้ตัดสินใจงดอัพเดต twitter ตัวเอง เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจแก่ผู้คนผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว, มังงะเรื่อง "กู้บัลลังก์มังกรแดง" หยุดตีพิมพ์ระยะสั้นๆ เนื่องจาก อ.มิซึโฮะ คุซานางิ ผู้แต่งเรื่องนี้ อาศัยอยู่จังหวัดดังกล่าว และเป็นผู้ประสบภัยโดยตรง รวมไปถึง สถานีทีวีตัดสินใจงด/เลื่อนการออกฉาย อนิเมทีวีจำนวนหนึ่ง เพื่อเน้นการนำเสนอข่าวแผ่นดินไหวเป็นหลัก ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นี่ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นสปิริตความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวญี่ปุ่น ในการหลั่งไหลธารน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวครั้งนี้ ในทุกภาคส่วน ทุกวงการ ซึ่งการช่วยเหลือชาวจ.คุมาโมโตะ ชาวเกาะคิวชู ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว จากบุคคลวงการการ์ตูน ก็มีหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่ การส่งสาส์น วาดภาพให้กำลังใจผู้ประสบภัย โดย อ.โอดะ กับ อ.อิซายามะ , วีดีโอให้กำลังใจผู้ประสบภัย ที่จัดทำขึ้นโดย มายูมิ ทานากะ ผู้พากย์เสียงเป็นลูฟี่ ในอนิเมวันพีซ , โปรเจ็คช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวคุมาโมโตะ ของอ.โอดะ ที่ใช้การ์ตูนวันพีซ เป็นแกนหลัก , ละครคาบุกิของวันพีซ ยังเดินหน้าจัดแสดงต่อไปบนเกาะคิวชู เมืองฟุกุโอกะ หลังเกิดแผ่นดินไหวไม่นาน เพื่อเป็นการบรรเทาความทุกข์คนท้องถิ่นไปในตัว และ โปรเจ็คบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว จ.คุมาโมโตะ โดย อ.ทาเคชิ โคโนมิ ผู้แต่ง Prince of Tennis เป็นต้น


 


 

  นิตยสารการ์ตูนรูปเล่มถึงคราสูญพันธุ์ ณ แดนสยาม

 

ปัญหาสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงอย่างต่อเนื่องมาเนิ่นนาน นับตั้งแต่สื่ออินเตอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนสมัยนี้ ซึ่งทำให้พฤติกรรมการอ่านหนังสือ การอ่านสื่อต่างๆของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไป พากันวางหนังสือและหันไปติดตามสื่อออนไลน์ที่มีความรวดเร็วและสะดวกกว่าแทน และการมาของสื่อออนไลน์ได้นำพาสู่ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์อันเรื้อรัง ยอดขายหนังสือทยอยลดน้อยลงไปเรื่อยๆ กอปรกับปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาทั่วทุกมุมโลกมาผสมโรงกันอีก ก็เลยส่งผลต่อสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ที่ต่างทยอยหยุดตีพิมพ์ ปิดฉาก ปิดตำนานของตัวเองลง ซึ่งปัญหาข้างต้นนี้ บอกเลยว่า บ้านเราประสบปัญหามานานหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจะมาปรากฏผลกันในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เมื่อมี นสพ. นิตยสาร เก่าแก่จำนวนหนึ่ง ได้ประกาศหยุดตีพิมพ์ไป โดยในปีนี้ก็มีหลายเจ้า ทั้ง นิตยสารสกุลไทย , นสพ.บ้านเมือง รวมถึงนิตยสารข่าวสารด้านเกม อย่าง Gamemag , Mega แล้วก็ Online Station

ในส่วนนิตยสารการ์ตูนในบ้านเรานั้น ต้องบอกเลยว่า มันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนๆหน้า หลังจาก A-Week (บูรพัฒน์) , BOOM (เนชั่น) รวมถึง นิตยสารการ์ตูนจำนวนหนึ่งของวิบูลย์กิจ ทยอยปิดตัวลง มาในปี 2016 นี้ มันยังได้ส่งผลต่อนิตยสารการ์ตูนหัวใหญ่ที่เหลืออยู่ในบ้านเรา อย่าง KC Weekly (วิบูลย์กิจ) และ C-Kids Express (สยามอินเตอร์ฯ) ที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงด้วย!!!! โดย KC ประกาศหยุดตีพิมพ์ในแบบรูปเล่ม เมื่อ เม.ย. 2016 โดยปรับเปลี่ยนไปเผยแพร่ในรูปแบบดิจิตอลแทน ภายใต้ชื่อ KC DigiMag ทั้งแบบฉบับ M , W และ F (ออกวางขายวันจันทร์ , พุธ และ ศุกร์ ตามลำดับ)

หลังจาก KC หยุดพิมพ์ ก็เหลือเพียง C-Kids Express อยู่ต่อสู้บนแผงหนังสือเพียงลำพังในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ แม้ว่าทาง C-Kids จะพยายามทุกวิธีทางในการต่อลมหายใจของนิตยสารหัวนี้ ทั้งการแถมปกพิเศษของการ์ตูนดังในเล่ม ก็แล้ว รวมถึง มีการ์ตูนใหม่ๆเข้ามา แต่จากการที่ C-Kids ไม่ยอมซื้อ LC เรื่องใหม่จากฝั่งญี่ปุ่นมาแทนที่ซีรี่ย์ดังจากจัมป์ที่ทยอยจบลงไป มีแต่เอาการ์ตูนไทยมาถมแทนที่ซะจบเกือบครึ่งนึงของเล่ม (รวมถึงทีมงานนิตยสาร มักจะบิ๊วอารมณ์เศร้า ชวนใจหาย กันบ่อย บนหนังสือ กับบนเพจ ในช่วงหลังๆ) ก็ทำให้ผู้อ่านจำนวนหนึ่งรู้สึกเป็นกังวลถึงอนาคตของนิตยสารหัวนี้ว่าอาจล้มตามหัวอื่นๆไป และแล้ว ความวิตกกังวลชวนใจหายของผู้อ่าน ก็ดันเกิดขึ้นจริง เมื่อ C-Kids ได้ประกาศยุติบทบาทของตัวเองเมื่อปลายเดือน ก.ย. 2016 หลังจากสร้างเสียงหัวเราะ ความสนุกสนานจากนักอ่านบ้านเรา ร่วม 22 ปี

จากการปิดฉากลงของ C-Kids Express เรียกได้ว่า มันคือการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการของนิตยสารการ์ตูนฉบับรูปเล่มในบ้านเรา ที่เกิดขึ้น ณ พ.ศ.นี้ ...ฟังแล้ว หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอการ์ตูนรุ่นเก่าๆ ที่ติดตามอ่านการ์ตูนจากนิตยสารการ์ตูนสารพัดเล่ม ตั้งแต่ยุค The Talent เป็นต้นมา คงรู้สึกใจหายไปตามๆกันนึกไม่ถึงเลยว่า นิตยสารการ์ตูนในบ้านเราจะมาพบกับจุดจบแบบนี้.....ก็แน่ล่ะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ยั่งยืนจีรัง สิ่งไหนที่ปรับตัวไม่ได้ ก็ย่อมต้องล้มเป็นธรรมดา แต่ที่แน่ๆ สนพ.ต่างๆในบ้านเรา ต่างก็พยายามที่จะปรับตัว เพื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง......ฉะนั้น ก็ช่วยกันเป็นกำลังใจให้พวกเขากันต่อไป รวมถึง สนับสนุนผลงานต่างๆของสนพ.อย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย ถ้าหากคุณมีพลังสนับสนุนเพียงพอ.........................


  ดราม่าหลากรส หลากอารมณ์ ตลอดทั้งปีลิง ของวงการการ์ตูน-อนิเมชั่นไทย


ข่าวสารวงการการ์ตูนไทย ในรอบปีลิงนี้ โดยรวมก็ไม่ต่างจากปีก่อนๆหน้า แต่ในปี 2016 นี้ก็มีความพิเศษหน่อยๆ ตรงที่มีข่าวสารค่อนข้างจะหลากรส หลากอารมณ์มากกว่าปีอื่นๆ ซึ่งส่วนนึงนั้น ก็มาจากกระแสอินเตอร์เน็ต , โซเชี่ยล ที่ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวพวกนี้มากขึ้น รวมถึงมีศิลปินนักเขียนการ์ตูนจำนวนหนึ่งได้ใช้สื่อโซเชี่ยลในการเปิดตัวผลงานของตนเอง.....

- เพื่อเป็นการน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทางสนพ.บรรลือสาส์น จึงได้จัดทำ ขายหัวเราะ-มหาสนุก ฉบับพิเศษ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระราชกรณียกิจ และพระราชอารมณ์ขัน ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ของในหลวง รัชกาลที่ 9 (ในช่วงที่ ขายหัวเราะ-มหาสนุก งดวางขายบนแผง เพื่อเป็นการไว้อาลัย ในหลวง รัชกาลที่ 9) ประกอบด้วย ขายหัวเราะ ฉบับ รอยยิ้มของพระราชา , มหาสนุก ฉบับ เมื่อเจ้าชายกลายเป็นพระราชา และ ปังปอนด์ ฉบับ ด้วยจงรักโดย...ภักดี โดย คุณต่าย ขายหัวเราะ มหาสนุก

โดยหนังสือ ขายหัวเราะ มหาสนุก รวมถึง ปังปอนด์ ชุดนี้ จัดเป็นหนังสือที่ขายดิบขายดีที่สุด หลายคนต่างก็อยากจะซื้อเก็บเป็นที่ระลึกกัน ในฐานะที่เกิดใน รัชกาลที่ 9

- หากจะพูดถึงผลงานการ์ตูนไทย ที่เรียกได้ว่า เรียกกระแสดราม่ากันมากที่สุดในรอบปี คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง คุณแม่วัยใส บนเว็บไซต์ Line Webtoon ซึ่งเนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวสะท้อนสังคมของหญิงสาววัยรุ่นที่ดันท้องในวัยเรียน พร้อมกับการเผชิญหน้าการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงให้กำลังใจสาวๆที่กำลังประสบกับปัญหานี้ แต่จากการที่ตัวเรื่องนี้นำเสนอออกมาในแบบโลกสวยเกินไป จึงทำให้คนอ่านจำนวนหนึ่งมองว่าเรื่องนี้กำลังสร้างค่านิยมที่ผิด นำไปสู่ดราม่าบนเว็บบอร์ด สื่อออนไลน์ ตามมา

- ส่วนอีกเรื่องนึงที่ถือว่าเป็นดราม่าที่ครื้นเครงบันเทิงสุดในรอบปี ก็เป็นเรื่องของ MV ทศกัณฐ์ ที่มีการนำเสนอในรูปแบบร่วมสมัย นอกกรอบ ชวนผู้ชมอมยิ้มไปตามๆกัน แต่.....ผู้หลักผู้ใหญ่บางกระทรวงกลับไม่ขำ เพราะมองว่า เป็นความพยายามจะนำเอาของสูงอย่าง โขน มาหลบหลู่ดูหมิ่น เป็นความไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง (ทศกัณฐ์จะทำหนมครก บอกว่าผิด !!! แต่ดันให้จกข้าวเหนียวส้มตำได้.....มาตรฐานอัลไล!?) และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำเอาคนบนโลกโซเชี่ยลพากันสร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนต่างๆ ที่หยิบเอาทศกัณฐ์ หนุมาน นางสีดา ไปจัดทำกัน ในรูปแบบใหม่ ที่มีความโมเดิร์น เข้ากับยุคสมัย ผสมโรงกับการแสดงออกถึงแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยกับผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีแนวคิดในกรอบจนเกินไป.....ซึ่งในภายหลัง ทางเพจ Drama Addicted ได้จัดประกวดวาดภาพทศกัณฐ์ บนเพจดังกล่าว ซึ่งก็มีหลายผลงานที่ไอเดียกระฉูดเหลือเกิน!!!

- ต่อมาเป็นดราม่าของคนวงการนักเขียนการ์ตูนไทย เมื่อนักเขียนนามปากกา one devil ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า มีบริษัทจากเกาหลีมาติดต่อทาบทามให้ไปร่วมงาน แต่ภายหลังเขาขอปฏิเสธงานนี้ เนื่องจาก งานที่เขาได้รับมอบหมายนั้น เป็นการ์ตูนโป๊ และจากนั้นเขาก็ได้เขียนพล่ามถึงเรื่องของนักเขียนการ์ตูนโป๊ การ์ตูนลามก ในเชิงดูถูกดูแคลนชาวบ้านชาวช่อง จนทำให้เกิดดราม่าตามมา โดยที่เขาถูกวิจารณ์ซะยับ ในแง่ที่ทำตัวลักลั่นย้อนแย้งซะเอง (หากใครที่เคยติดตามผลงานของนักเขียนคนนี้ จะพบว่า งานของเขาก็ไปทาง 18+ เช่นกัน) ซึ่งภายหลังเขาก็อ้างว่าการเขียนการ์ตูนโป๊เป็นเรื่องผิดกฎหมาย โดยยกตัวบทกฎหมายมารองรับความเห็นตนเอง ซึ่งจากประเด็นนี้เอง ก็กลายเป็นประเด็นที่มีการแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ในแง่ที่ว่า แล้วพวกวรรณคดีไทยบางเรื่อง ที่มีฉากอย่างว่านี้ จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือเปล่า?

- "เจ้าหนูข้าวจี่ " ผลงานการ์ตูนของ คุณเกษม อภิชนตระกูล กับคุณ คุณากร ขุนนราศัย จัดเป็นการ์ตูนไทยสายมังงะที่ใครต่อใครต่างพูดถึงกันมากที่สุดในรอบปีนี้!!!! จากการที่เรื่องนี้เป็นการ์ตูนไทย เรียกว่าน่าจะเป็นเรื่องแรกเลย ที่นำเสนอในธีมแข่งขันทำอาหาร (บังหน้า) แต่แท้จริง เป็นการ์ตูนที่ขายมุกตลกสารพัดมุกในวงเหล้าต่างหาก!!! แถมเป็นเรื่องราวในบรรยากาศท้องถิ่นนิยม (จ.ขอนแก่น) อีก รวมถึง คาแร็คเตอร์ของพระเอกก็โคตะระ กวนโอ๊ยอย่างสุดๆ ........ซึ่งใครได้อ่านแล้ว ส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ฮาเอร็ดอร่อยเหาะจนท้องแข็งเลย!!!! (สาวๆในเรื่องนี้ มีหน้าที่ตบมุกอย่างเดียวสินะ) ได้อารมณ์ โซมะ ผสม กินทามะ อย่างลงตัว!!!!!

 

- ในส่วนผลงานอนิเมชั่นไทยนั้น ถือว่า ในปีนี้ก็ได้สร้างทำผลงานออกสู่สายตาชาวโลก และคว้ารางวัลสำคัญๆจากต่างประเทศมาประดับ โดยเฉพาะกับหนังอนิเมชั่นขนาดสั้น เรื่อง Nine สามารถกวาด 11 รางวัล จากงานเทศกาลทั่วโลก , รวมถึง RiFF Studio สตูดิโออนิเมชั่นของไทย ที่เคยฝากผลงานอนิเมชั่น ให้กับหนัง เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ......ได้มีส่วนร่วมในการผลิตเทรลเลอร์หนังอนิเมชั่น Force of Will THE MOVIE (ดัดแปลงมาจากการ์ดเกมชื่อเดียวกัน) ชุด RAAM - THE BRIDGE TO LANKA - ที่ดัดแปลงมาจาก รามเกียรติ์ วรรณคดีของชาวฮินดู โดยทำออกมาให้มีความทันสมัย ล้ำยุค มีความ sci-fi มากขึ้น แล้วก็ผสมผสานกับดนตรีไทย และการร่ายรำโขนไทย อีกด้วย




 

   รวมข่าวต่างประเทศ-เบ็ดเตล็ด รอบปี 2016


  • "มุชิบุเกียว หน่วยพิฆาตแมลงอสูร" มีเปลี่ยนแปลงดีไซน์ตัวละคร อิโยะ ใหม่ ให้ต่างจากของเดิม ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ Moselle Kar98k ตัวละครจาก Girls Frontline เกมบนมือถือของจีน ถึงกระนั้น ทางทีมพัฒนาเกมนี้ของจีน ก็รู้สึกไม่พอใจกับแถลงการณ์ของนิตยสาร Shonen Sunday ที่ออกมาปฏิเสธในประเด็นที่เกิดขึ้น

  • Malik Taimoor Masood สมาชิกจากพรรคการเมือง Pakistan Tahreek-e-Insaf (PTI) ของประเทศปากีสถาน ได้ตัดสินใจที่จะยื่นมติถึงสภาท้องถิ่นแห่งจังหวัด Punjab ด้วยการเรียกร้องให้มีการแบนอนิเม โดราเอมอน ไปพร้อมๆกับเรียกร้องให้หน่วยงานจัดระเบียบสื่ออิเลคทรอนิคแห่งปากีสถาน (PEMRA) จัดการแบนช่องทีวี ซึ่งเป็นช่องการ์ตูน 24 ชั่วโมงที่ออกฉายอนิเมเรื่องดังกล่าวอีกด้วย โดยเขาก็ได้อ้างเหตุผลในการแบนอนิเมโดราเอมอนว่า อนิเมเรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อเด็ก-เยาวชนชาวปากีสถาน ทั้งด้านการศึกษา แล้วก็ รูปธรรม แถมเด็กๆ ก็รับชมอนิเมบนช่องทีวีดังกล่าว โดยที่ขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองอีกด้วย เฉกเช่นกับที่ อินเดีย ที่ได้มีการเรียกร้องให้สถานีทีวีท้องถิ่นแบนโดราเอมอน เนื่องจากเกรงว่า เยาชนจะเลียนแบบพฤติกรรมไม่เอาไหน ตาม โนบิตะ

  • สนพ. ชูเอย์ฉะ กับ โคดันฉะ ต่างออกมายืนยันว่า พวกเขาได้พบสาร formaldehyde สารประกอบอินทรีย์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ปนเปื้อนไปกับของแถมของเล่นเครื่องสำอางที่มากับนิตยสารการ์ตูนผู้หญิง-นิตยสารการ์ตูนเด็กของพวกเขา ที่ตีพิมพ์วางขายช่วง ต.ค. 2014 - ก.ค. 2015
    โดยในช่วง ต.ค. 2014 - ก.ค. 2015 มีนิตยสารการ์ตูนเด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่ง ที่มีของแถมเป็นเครื่องสำอางแต่งเล็บให้บรรดาหนูน้อยได้เสริมสวยกัน อาทิ Ribbon ฉบับ ส.ค. 2015 issue (ยาทาเล็บสะท้อนแสง), Nakayoshi ฉบับ ม.ค. 2015(ยาทาเล็บแบบ Glitter) และ Otomodachi Pink ฉบับ พ.ย. 2014 (อุปกรณ์แต่งเล็บสีชมพู) ซึ่งของแถมดังกล่าวมีการนำไปตรวจสอบผลิตภัณฑ์กัน ณ ศูนย์ข้อมูลผู้บริโภคญี่ปุ่น เมื่อ ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งก็ปรากฏว่า พบสารปนเปื้อนดังกล่าว แม้ว่าเครื่องสำอางที่มากับหนังสือดังกล่าว ไม่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตราย แต่อาจเกิดอาการภูมิแพ้ได้ ถึงกระนั้น พวกเขาได้ขอร้องให้บรรดานักอ่านหยุดใช้เครื่องสำอางค์ของแถมนั้นทันที

  • ไลท์โนเวล Zero no Tsukaima หรือ อสูรรับใช้ของยาย0สนิท ได้มีการตีพิมพ์ต่อ หลังการเสียชีวิตของ โนโบรุ ยามางุจิ ผู้แต่งนิยายต้นฉบับ โดยฉบับนิยาย เล่ม 21 ออกวางขายเมื่อ 25 ก.พ. 2016 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในส่วนข้อมูลผู้แต่งนิยายเล่ม 21 นี้ยังคงให้เครดิต เอย์จิ อุซัตสึกะ เป็นผู้วาดภาพประกอบเหมือนเคยแล้ว แต่ในส่วนของผู้แต่ง ผู้มารับหน้าที่สานต่อผลงานของยามางุจินั้น กลับไม่มีการระบุชื่อใดๆ ซึ่งทางสนพ.Kadoakawa ได้ให้เหตุผลว่า หากมีการเผยชื่อคนแต่งคนใหม่ไปนั้น พวกเขาเกรงว่าจะเป็นการทำให้คนอ่านรู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่น เกิดความอคติครอบงำที่มีต่อผู้แต่ง ก็เลยอยากจะให้แฟนๆได้รับรู้ความสนุกสนานของเนื้อเรื่องนิยายมากกว่าที่จะมาตะหงิดๆกับคนแต่งเรื่อง

  • ศาลเขตโตเกียวได้ติดสินว่า ไดสุเกะ อุเมสึ นักเขียนเจ้าของนามปากกา มามาเระ โทโนะ ผู้แต่งนิยาย Maoyu กับ Log Horizon มีความผิดในข้อหาหลบเลี่ยงภาษี พร้อมพิพากษาสั่งจำคุกเขา เป็นเวลา 10 เดือน พร้อมกับรอลงอาญาอีก 3 ปี พร้อมกันนี้ยังสั่งให้ m2ladeJAM บริษัทผู้ดูแลลิขสิทธิ์ผลงานของเขา ชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติม เป็นจำนวน 7 ล้านเยน ด้วยกัน
    โดย โทโนะ วัย 42 ปี ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหาพยายามหลบเลี่ยงภาษี กับ ฝ่าฝืนกฎหมายภาษีอากร เมื่อ เม.ย. 2015 โดยเขาถูกกล่าวหาว่าไม่ยอมชำระภาษีค่าลิขสิทธิ์ผลงานนิยายตัวเองเป็นจำนวนราว 122 ล้านเยน ในช่วงระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่สิ้นสุดปีงบประมาณ มี.ค. 2014 รวมถึง เขายังเป็นหนี้ภาษีรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นจำนวน 30 ล้านเยนด้วยกัน แม้ว่าในตอนนั้น เขาอ้างว่า ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สรรพากรในการตรวจสอบข้อมูลภาษีของตนเอง และได้เคลียร์หลักฐาน+ภาษีไปแล้วก็ตาม แต่ภายหลังเขาถูกศาลสั่งกักบริเวณบ้านพักของตนเอง ตั้งแต่ ธ.ค. 2015 เป็นต้นมา

  • ฮายาโอะ มิยาซากิ ผกก.อนิเมมือทองรุ่นคุณปู่แห่ง Studio Ghibli ได้ส่งสัญญาณเตรียมกลับมาทำหนังอนิเมอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังประกาศวางมือจากการกำกับหนัง เมื่อปี 2013 จากผลงานหนังอนิเม The Wind Rises ...ข่าวดังกล่าว มีการเปิดเผยมาจากรายการสารคดีพิเศษทางทีวี Owaranai Hito (NeverEnding Man) Miyazaki Hayao ที่ออกฉายช่วงค่ำทางช่อง NHK เมื่อ 13 พ.ย. 2016

  • Studio Khara ได้ดำเนินคดีฟ้องร้องทางกฎหมายต่อ สตูดิโอ Gainax เนื่องจาก Gainax กำลังติดหนี้สินกับพวกเขาเป็นจำนวน 100 ล้านเยน โดยทั้ง Khara กับ Gainax ต่างมีข้อตกลงกัน คือ Khara จะได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์จากของ Gainax ที่มาจากรายได้จากผลงาน(+สินค้า)ที่ ฮิเดอากิ อันโนะ ผู้ก่อตั้ง Khara และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Gainax มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่ง Khara กล่าวหาว่า Gainax ชำระค่าลิขสิทธิ์ให้พวกเขาล่าช้า จนกลายเป็นการก่อหนี้สินให้กับทาง Khara ด้วย ซึ่ง Khara ได้กู้เงินจำนวน 100 ล้านเยน เมื่อ ส.ค. 2014 และจนบัดนี้ พวกเขายังไม่ได้รับเงินจาก Gainax เลย จนเกิดการฟ้องร้องดังกล่าว ซึ่งภายหลังนั้น ทาง Gainax ได้ออกมาขอโทษ Khara จากกรณีดังกล่าวแล้ว


  สรุปซีรี่ย์การ์ตูนจบระเนระนาดปี 2016


ปี 2016 นี้ก็มีซีรี่ย์การ์ตูนดังจำนวนหนึ่งได้ทยอยจบลงไป นอกจากซีรี่ย์การ์ตูนดังของจัมป์ส่วนหนึ่ง ที่เราได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น (ขอไม่เอ่ยซ้ำในนี้ เลื่อนกลับไปดูข่าวข้างบนกันเองนะ) ก็ยังมีซีรี่ย์การ์ตูนเรื่องอื่นๆ พร้อมใจกันจบ เช่นกัน ลองมาทวนความจำกันว่า ในรอบปีที่ผ่านมานี้ มีเรื่องไหนที่อวสานไปแล้วมั่ง

  • Letter Bee
  • Billy Bat
  • Akame ga Kill
  • Shinryaku! Ika Musume
  • Area D
  • Kuroko no Basket Extra Game
  • จิ้งจอกเย็นชา กับ สาวซ่าเทพจำเป็น
  • Oremonogatari!!
  • Evangelion โครงการพัฒนาอิคาริ ชินจิ
  • Full Metal Panic! Another
  • Coppelion
  • อลิสในแดนมรณะ
  • Saint Seiya: The Lost Canvas ภาค Gold Saint
  • Brynhildr in the Darkness
  • พี่จ๋าอย่าจิ้น
  • Attack on Titan: Junior High
  • 87 Clockers
  • ยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ
  • Big Order
  • Tokyo ESP
  • Kyo Kara Maoh!
  • Genshiken: Second Season
  • การหายตัวไปของนางาโตะ ยูกิจัง
  • Blood Lad
  • Sacred Blacksmith
  • Akuma no Riddle


   list คนวงการการ์ตูนอนิเม ผู้จากไปในปี 2016



  ในปี 2016 ที่ผ่านมา ได้มีคนวงการการ์ตูนอนิเมได้จากโลกนี้ไปจำนวนหนึ่ง ด้วยสังขาร โรคร้าย หรือ อุบัติเหตุ ซึ่งเราได้รวบรวมชื่อมาพอสังเขป เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี รวมไปถึง ผลงานของพวกเขา ที่ได้ฝากเอาไว้ในช่วงที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ :

  • จิอากิ โมโรซาวะ คนเขียนบทหลักให้กับอนิเม Mobile Suit Gundam Seed กับ Mobile Suit Gundam Seed

  • Eric Medalle Design Director ของ Pokemon Company ผู้อยู่เบื้องหลังเกม Pokemon จำนวนหลายภาค

  • Agobarrier นักเขียนนิยายไลท์โนเวล กับ คนเขียนบทจากเกม Shuffle! แล้วก็เกมแนววิชวลโนเวลผู้ใหญ่อื่นๆ

  • โคจิ วาดะ นักร้องเพลงประกอบอนิเมจาก Digimon Series

  • ฮิซาโอะ โอคาวะ อนิเมยุคคลาสสิค - ยุค 90 จำนวนหนึ่ง รวมถึงบทภาพยนตร์กับรายการโทรทัศน์มากมาย อาทิ Nadia - The Secret of Blue Water , Alps no Shōjo Heidi

  • โทโมฮิโระ มัตสึ ผู้แต่งไลท์โนเวล Mayoi Neko Overrun' กับ 'Listen to Me, Girls. I Am Your Father!' (Papa no Iu Koto o Kikinasai!)

  • อิซาโอะ โทมิตะ ผู้เรียบเรียงดนตรี - ผู้บุกเบิกดนตรีอิเล็คทรอนิกส์ญี่ปุ่น และเป็นคนทำเพลงประกอบอนิเมยุคคลาสสิค อาทิ Kimba the White Lion , Princess Knight, Dororo, Jungle Taitei Susume Leo เป็นต้น

  • มากิโกะ ฟุตากิ อนิเมเตอร์หญิงประสบการณ์สูงของ Ghibli มีส่วนร่วมในการทำงานด้านคีย์อนิเมชั่นให้กับหนังอนิเมหลายเรื่องของสตูดิโอดังกล่าว รวมถึง งานนอกอย่าง Akira และ Royal Space Force - The Wings of Honnêamise

  • ยูโกะ มิซึทานิ นักพากย์สาวใหญ่ จาก Mobile Suit Zeta Gundam ,Machine Robo: Chronos no Dai Gyakushuu , Akai Koudan Zillion ,Chibi Maruko-chan

  • มานาบุ ไดชิมะ กราฟิกดีไซเนอร์เกม มือฉมังประจำค่าย Square Enix

  • มิจิโยะ ยาสึดะ นักออกแบบสี ( color designer) คู่บุญของ Studio Ghibli และมีผลงานให้กับหนังจากสตูดิโอแห่งนี้ หลากหลายเรื่อง

  • คาสึนาริ ทานากะ นักพากย์หนุ่มใหญ่ เป็นที่รู้จักคุ้นเคย จากการพากย์เสียงเป็น Keishin Ukai จากอนิเม Haikyu!!

  • ฮิโรยูกิ โชจิ นักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นผู้มีผลงานจำนวนหนึ่ง แจ้งเกิดกับเรื่อง Koroshi no License จากนั้นก็มีผลงานการ์ตูนเรื่องอื่นๆตามมา เช่น . Kabefumi-san (Genzo, Gentosha), Raise de Aimashō (Comic Birz, Gentosha), Gokko (Super Jump , Grand Jump Premium, Shueisha), Hanzai-Ō Poponepo (Jump Kai, Shueisha), และ Sokubakuai ~Kareshi o Hikikomaraseru 100 no Hōhō

  • คาเนตะ คิโมตสึกิ เจ้าของเสียงพากย์ 'ซูเนโอะ' จากอนิเม โดราเอมอน เวอร์ชั่น 1979-2005 (ก่อนหน้านี้เคยพากย์เสียงไจแอนท์ จากเรื่องเดียวกัน ในเวอร์ชั่นปี 1973)

  • ชูจิ อิอุจิ ผู้กำกับ อนิเมเตอร์ และ คนเขียนบท อยู่เบื้องหลังผลงานสำคัญคือ Mashin Eiyuden Wataru ,Madō King Granzort ฯลฯ

  • Kevin Curran คนเขียนบทอนิเมชั่นซีรี่ย์ The Simpsons

  • ภิญโญ สุวินทรากร อดีตสมาชิกวงเดอะพีเพิล ,นักพากย์ชาวไทยผู้มีผลงานการพากย์หนัง ซีรี่ย์ และการ์ตูนมากมาย ซึ่งบทบาทการพากย์การ์ตูน เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกับบทบาท "ชินเอมอนซัง" ในการ์ตูน อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา

  • โกสิน เจียมชูโรจน์ ผู้เขียนการ์ตูนไทยเรื่อง Holiday Howl


 


  นี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูนตลอดปี 2016 ในปีไก่ที่กำลังจะมาถึง วงการการ์ตูนจะก้าวไปในทิศทางไหนกัน ก็ต้องติดตามข่าวคราวกันต่อไปครับ ซึ่งเราก็ขอให้ทุกคนจงมีแต่ความสุข ความโชคดี จะทำอะไรขอให้ปลอดอุปสรรคทั้งปวง ตลอดปีพ.ศ. ๒๕๖๐ ขอให้รัก สามัคคี ใจเย็นๆ มีเหตุมีผล บนแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐ ครับ !!!!!!!!!!!............(ยังมีต่อตอนที่ 2 เน้อ)

สำนักข่าว KD News
 
free hit counter javascript