Silver Spoon : เรียนรู้วิถีเกษตรกรรม สะท้อนความจริงชีวิต ไปกับช้อนเงิน

90% ของการ์ตูนฮิตยอดนิยมในขณะนี้ จะเป็นแนวต่อสู้แฟนตาซีซะส่วนใหญ่  อย่างไรก็ตาม ก็มีการ์ตูนแนวอื่นๆจำนวนน้อยนิดที่สามารถแทรกการ์ตูนสายหลักเหล่านี้ให้โดนใจกลุ่มผู้อ่านได้ ซึ่งเรื่องที่เรากำลังจะมารีวิวต่อไปนี้ ก็เพิ่งออกวางขายในบ้านเราไปไม่นาน แถมยังสร้างปรากฏการณ์ความนิยมอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ การ์ตูนเรื่องนี้มีเนื้อหาแปลกไม่เหมือนใคร เพราะเน้นนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งเรื่องที่ว่านี้ก็คือ Silver Spoon นั่นเอง

Silver Spoon หรือ Gin no Saji ในภาษาญี่ปุ่น เป็นผลงานการ์ตูนเรื่องปัจจุบันของ อ.ฮิโรมุ อาราคาว่า  นักเขียนการ์ตูนเจ้าของผลงานสุดฮิต Fullmetal Alchemist (แขนกล คนแปรธาตุ) ที่คอการ์ตูนบ้านเราหลายคนรู้จักกันดี ที่คราวนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศจากการ์ตูนแฟนตาซีเล่นแร่แปรธาตุ ไปเป็นการ์ตูนแนวเกษตรกรรมคอเมดี้ ที่หยิบเอาประสบการณ์ชีวิตชาวนาของอ.อาราคาว่า ไปดัดแปลงแทน ซึ่งเรื่องนี้เริ่มตีพิมพ์เมื่อปี 2011 ในนิตยสารโชเน็นซันเดย์ หลังจากที่ FMA อวสานไปเกือบปี  ซึ่งต่อมาเรื่องนี้ได้สร้างกระแสความแรงด้วยการที่ฉบับรวมเล่มแรกของเรื่อง นี้ขายดีหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ส่งผลให้เล่มแรกของเรื่องนี้ติดชาร์ตการ์ตูนขายดีอันดับท็อปของ Oricon ในช่วงนั้นเลย รวมถึงการที่เรื่องนี้สามารถคว้ารางวัล Manga Taisho 2012  เป็นการันตี จึงทำให้ทางสนพ.ต้นสังกัดตัดสินใจเพิ่มจำนวนยอดตีพิมพ์ของเรื่องนี้ เป็นจำนวน 1 ล้านเล่ม ในฉบับรวมเล่มต่อมา

Silver Spoon เป็นเรื่องราวสนุกๆวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ โรงเรียนเทคนิคการเกษตรโอเอะโสะ บนเกาะฮ็อกไกโด โดยนำเสนอผ่านทางตัวละครนำอย่าง ฮะจิเคน ยูโงะ  เด็กหนุ่มหัวดีจากเมืองใหญ่ ผู้ที่ไม่มีความฝันหรืออนาคตอะไรซักอย่าง แต่กลับสอบติดเข้าโรงเรียนเกษตรแห่งนี้ ซึ่งพอเขาได้สัมผัสกับโรงเรียนดังกล่าว นอกจากเขาจะต้องอยู่ท่ามกลางบรรดาเพื่อนๆที่ต่างเป็นลูกหลานชาวนา เกษตรกร แล้ว เขายังพบว่า หลักสูตรวิชาการเกษตรนั้น มันไม่ได้ปลอกกล้วยเข้าปากง่ายอย่างที่คิด!!!!! แถมยังไม่ค่อยมีเวลาว่างมากดั่งใจนึกอีก!! ความตั้งใจในการที่จะเป็นที่ 1 ของเขากับที่นี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว .....แล้วฮะจิเคนจะปรับตัวเข้ากับชีวิตโรงเรียนเกษตรแห่งนี้ อย่างไร !?

แม้ว่าจะเป็นการ์ตูนที่นำเสนอเรื่องราวด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่อ่านแล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกเครียดแต่อย่างใด  มีช็อตให้ฮาได้ตลอดทุกตอน ซึ่งต้องชมเชยพรสวรรค์ด้านมุขตลก การสร้างอารมณ์ขันของอ.อาราคาว่า ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมต่อเนื่อง นับจากการ์ตูนแก๊กท้ายเล่มและปกในจากผลงานเรื่องก่อนหน้า ที่พอจะพิสูจน์เสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี  และที่สำคัญอ่านแล้วก็ได้สาระน่ารู้เกี่ยวกับด้านการเกษตร ซึ่งนั่นก็มาจากข้อมูลประสบการณ์ชีวิตของผู้แต่งโดยตรงเช่นกัน แถมโรงเรียนในเรื่องก็ดัดแปลงมาจากโรงเรียนที่มีอยู่จริงด้วย อีกทั้งผู้แต่งได้นำจุดเล็กจุดน้อยมานำเสนอได้น่าสนใจและฮาได้ยิ่งขึ้น  อาทิ  กิจกรรมชีวิตประจำวันของนักเรียนเกษตร, ไข่ไก่ที่ออกมาจากช่องทวารรวมของไก่, การผูกมิตรกับลูกวัว, กีฬาม้าลากเลื่อนบังเอย์, พิธีกรรมความเชื่อท้องถิ่น ,ตำแหน่งการเลือกดื่มน้ำนมแม่ของลูกหมู เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องนี้จะมีบรรยากาศเนื้อเรื่องที่ผ่อนคลายกว่าเรื่องก่อนหน้าของผู้แต่งผู้นี้ แต่ถึงกระนั้น เรื่องนี้ยังได้แทรกแนวคิด สะท้อนหลักความเป็นจริงของชีวิต แฝงไปกับเนื้อเรื่องไม่แพ้เรื่องก่อนเลย  ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดของคนเป็นเกษตรกร (รวมไปถึงสัตว์แพทย์) ที่จะต้องตัดสินใจและแบกรับชะตากรรมอันโหดร้าย ซึ่งหมายถึง การตัดสินใจที่จะต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือจะรักษาชีวิตของสัตว์เอาไว้  ซึ่งในความเป็นจริง มันก็เป็นแบบนั้น เพราะ เกษตรกรต้องคอยสัมผัสกับชีวิตที่ต้องพรากชีวิตน้อยๆของสัตว์ในฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็น การฆ่าสัตว์เพื่อนำเนื้อไปขาย หรือ จะเป็นการฆ่าสัตว์ในฟาร์มจำนวนมาก เพื่อหยุดยั้งโรคระบาดร้ายแรงที่มีสัตว์เป็นพาหะ หรือ รวมถึง การตัดสินใจเลือกจบชีวิตม้าขาหักตัวนึงให้ไปอยู่ในที่สุขสบายในอีกภพหนึ่ง เป็นต้น รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตของสัตว์  ที่มีบางสิ่งที่คล้ายกับชีวิตมนุษย์ คือ ความพยายามดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่สำหรับสัตว์บางประเภทนั้น ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไหร่ แต่ได้ผลลัพธ์ในระดับแค่เพียงน้อยนิด พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากถูกฆ่า หรือ ไม่ก็ถูกปล่อยออกไป ในขณะที่สัตว์อีกประเภทหนึ่ง เลือกจะไม่ดิ้นรนต่อสู้ทั้งๆที่ตนกำลังเสียเปรียบ มองว่าแบบนี้แหละดี หากเปรียบกับมนุษย์แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เอาไหนของตน อีกเช่นกัน