สรุปข่าววงการการ์ตูนประจำปี 2553 (2): สรุปเหตุการณ์สำคัญ

  รอบปี 2010 ที่กำลังจะหมดไป ก็มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ประสพพบเจอกับข่าวไม่ดีทั้งนั้น เริ่มจากแผ่นดินใหญ่ครั้งร้ายแรงของประเทศเฮติ จากนั้นอีกไม่นาน บ้านเราก็ประสบกับปัญหาด้านการเมืองอย่างเรื้อรังจากการบุกเข้าเมืองกรุงของกองทัพแดง ก่อนที่ทัพแดงจะถูกกลุ่มคนสีเขียวขอคืนพื้นที่สำเร็จ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจของผู้คน ส่งผลกระทบต่อคนทุกวงการ(แต่อย่างน้อย เราก็ได้เห็นความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจกันของคนไทย หลังจากการขอคืนพื้นที่) จากนั้นก็มาเคราะห์ซ้ำกรรมซัดกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เอาหลายคนใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก นอกนั้น ก็มีความวุ่นวายเรื่องประมูล 3G เอย , ข้อสอบ O-Net สุดด๋อย เอย, ดราม่า DNA บนใบหน้าของดารา ฟ. และ อ. ,เรื่องราวบ้าน(เกือบ)แตกของ ดารา ธ. จากฝีมือของ พ. ,วีรกรรมแหลๆของ น.ธ.ถูกนำมาแฉอีกรอบ, ความล้มเหลวของบอลไทยจนนำไปสู่การขับไล่ท่าน VV ออกจากนายกสมาคมฟุตบอล ของเหล่าแฟนบอลชาวไทย , ข่าวทำนองพ่อแม่รังแกฉันของ จ. ไผ่เขียX และปิดท้ายปีด้วย เด็ก 16 ซิ่งแหกโค้ง ชนรถตู้ พาคนตายไป 9 ศพ!!

  แม้ส่วนใหญ่จะได้ยินแต่ข่าวไม่ดี แต่อย่างน้อย ฟุตบอลโลก 2010 กับ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน ก็พอที่จะช่วยเยียวยาให้คนไทยให้คลายความชอกช้ำจากเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในบ้านเราตลอดทั้งปีได้

  ในส่วนของข่าวคราวในวงการการ์ตูนก็เช่นเดียวกัน ในรอบปี 2010 นั้นต่างก็มีเรื่องดีและเรื่องร้ายปะปนกันไป จะเป็นอย่างไรนั้น เราไปทบทวนกับข่าวคราวการ์ตูนเด็ดๆในปีที่ผ่านมากันอีกครั้งหนึ่ง ในตอนที่สอง ซึ่งจะเน้นการสรุปเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูน ตลอดทั้งปี 2010 ขอเชิญติดตามอ่านกันได้เลยครับ

<<< อ่านตอนที่ 1

ป.ล.หากนำข่าวไปใช้ หรือ เผยแพร่ที่อื่นๆ กรุณาใส่เครดิตให้กับเรา (kartoon-discovery.com) ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
สามารถอัพเดทข่าวสารเว็บเราได้ผ่าน Twitter


   เหตุการณ์ และ กระแสสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูน ตลอดปี พ.ศ.2553

  สะเทือนแห่งปี!! : สนพ.+คนวงการการ์ตูนผนึกกำลังต่อต้าน Scanlation


  หนึ่งในข่าวเด็ดและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูน ตลอดปี 2010 ที่ผ่านมานั้น ก็คงหนีไม่พ้นข่าวนี้ กับความพยายามของบรรดาสำนักพิมพ์การ์ตูนที่รวมตัวกันต่อต้านเว็บไซต์ที่เผยแพร่ไฟล์การ์ตูนลิขสิทธิ์ หรือ scanlation ที่หลายคนคุ้นเคยกันโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งการscanlation นั้น ก็มีมาตั้งนานแล้ว โดยทำทั้งในรูปแบบการแจกจ่ายไฟล์ รวมถึง การนำไฟล์การ์ตูนหลายๆเรื่อง หลายๆตอน ออกมาเผยแพร่กันในรูปแบบของเว็บ Manga Scan ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดกันหลายเว็บ ซึ่งการมาของเว็บ Manga Scan นั้น ก็เป็นการตอบสนองความต้องการของคอการ์ตูนที่ต้องการติดตามอ่านตอนล่วงหน้าของการ์ตูนเรื่องโปรดให้ทันกับคนอ่านญี่ปุ่น รวมถึง ยังเป็นช่องทางในการเผยแพร่ซีรี่ย์เรื่องโนเนม ให้กลายเป็นที่รู้จัก จนผู้อ่านรู้สึกสนใจ จนอยากให้สนพ.ในประเทศนั้นไปขอซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนั้นๆมาวางจำหน่ายในประเทศตน

  อย่างไรก็ตาม การมาของเว็บ Manga Scan นั้น กลับทำให้บรรดาสำนักพิมพ์ต้นสังกัด รวมถึง บรรดานักเขียนการ์ตูนต้องสูญเสียรายได้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเว็บดังกล่าวมีการเผยแพร่แจกจ่ายไฟล์การ์ตูนโดยไม่ได้รับอนุญาติจากต้นสังกัด ซึ่งถือเป็นการเสียมารยาท , ไม่ให้เกียรติแก่สำนักพิมพ์และผู้เขียนการ์ตูน รวมถึง ยังถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายในแง่ของลิขสิทธิ์อีกด้วย และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอานักเขียนการ์ตูนหลายคนถึงกับบ่น โดยเฉพาะ อ.ยานะ โทโบโซะ ผู้แต่ง Black Butler ถึงกับวีนแตก ขณะที่ อ.โคตะ ฮิราโนะ ผู้แต่ง Hellsing กับ อ.เรย์ ฮิโรเอะ ผู้แต่ง Black Lagoon ถึงกับสาปแช่งคนอัพโหลดสแกนกันเลย

  และแล้ว ความอดอันยาวนานของสนพ.ก็มีอันต้องสิ้นสุดลง เมื่อสนพ.ชูเอย์ฉะของญี่ปุ่น ได้สั่งปิดเว็บ raw-paradise ที่คอยอัพโหลดแจกจ่ายไฟล์การ์ตูนจากโชเน็นจัมป์ (รวมถึงการ์ตูนจากนิตยสารเล่มอื่นๆ) โดยไม่ได้รับอนุญาติ หลังจากนั้นไม่กี่วัน นิตยสารโชเน็นจัมป์ก็ได้แจ้งประกาศิต เรียกร้องให้ยุติการเผยแพร่การ์ตูนของพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาติ และต่อจากนั้นเหตุการณ์ต่อต้าน scanlation ก็ได้ขยายวงกว้าง เมื่อบรรดาสำนักพิมพ์ชั้นนำของญี่ปุ่น ได้จับมือกับ สนพ.การ์ตูนในอเมริกา ในการเป็นพันธมิตรต่อสู้กับการ scanlation ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ !! เช่นเดียวกับความพยายามของ google ในการแก้เผ็ดเว็บสแกน ด้วยการถอนเว็บสแกนออกจาก"ผลการค้นหา" ซึ่งในขณะนั้น ก็เป็นเรื่องประจวบเหมาะที่ เจ้าหน้าที่ FBI ได้สั่งปิดเว็บไซต์ HTMLcomics.com โทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่การ์ตูนคอมิคอเมริกันหลากเรื่องโดยไม่ได้รับอนุญาติจากต้นสังกัด และเท่านั้นยังไม่พอ ที่ญี่ปุ่นได้มีการจับกุมเด็กวัย 14 ปี ในข้อหาเอาไฟล์การ์ตูนจากนิตยสารจัมป์ รวมถึง โชเน็นซันเดย์ ไปเผยแพร่ผ่านทาง Youtube อีกด้วย จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็กลายเป็นตัวจุดเชื้อไฟให้บรรดาเว็บ Manga Scan ถึงคราวระส่ำ จนบางส่วนถึงกับต้องปิดตัว หรือ ยอมถอดไฟล์สแกนออกจากเว็บไซต์ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีเว็บ Manga Scan ยอดนิยมอย่าง Onemanga ที่เอาไฟล์สแกนการ์ตูนออกจนหมด ขณะที่ Manga Fox กับ Manga Helpers นั้น เอาไฟล์สแกนออกไปบางเรื่อง

  ในส่วนของสนพ.ในบ้านเรานั้น ก็ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดการกับปัญหานี้เท่าไหร่ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะนิ่งดูดายอย่างเดียว เมื่อนิตยสาร BOOM ของสนพ.เนชั่นฯ ได้อุทิศ 1 หน้ากระดาษในการขอความร่วมมือไม่ให้เอาหน้าการ์ตูนจากนิตยสารไปเผยแพร่ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติจากต้นสังกัด ซึ่งถึงแม้ว่าทาง BOOM จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงอะลุ่มอะล่วย แต่ก็กลับกลายเป็นหัวข้อที่ชาวพันทิพต่างพากันถกมากกว่า 1 คืน จนกระทั่งที่นั่นเลยตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการไม่ลงสแกนการ์ตูนของจัมป์ที่ปัจจุบันลงตีพิมพ์ในนิตยสาร BOOM ซะเลย ขณะเดียวกัน สนพ.วิบูลย์กิจ ก็ออกมาเรียกร้องให้เลิกเผยแพร่สแกนการ์ตูนของพวกเขา เช่นกัน ส่วนมาตรการนั้น ยังคงเงียบหายไปกับสายลม.....

  ปัจจุบันนี้ ปัญหาดังกล่าว ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่สนพ.การ์ตูนต้องแก้ปัญหากันต่อไป และเชื่อว่า ปัญหานี้ยังไม่หมดไปง่ายๆ ในเมื่อมนุษย์ยังมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นติดตัวอยู่ ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ปัญหานี้คลี่คลาย ก็เริ่มต้นที่ตัวคนอ่านก่อนนี่ล่ะ ที่จะต้องสนับสนุน-ซื้อ ผลงานของนักเขียน และ สนพ.อย่างถูกต้อง ไม่ใช่สักแต่อ่าน หรือ ดาวน์โหลดสแกนเพียงอย่างเดียว...........



  E-Manga คือ หนทางการต่อสู้กับ Scanlation ผิดกฎหมาย !?

 จากปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้น ทางสำนักพิมพ์การ์ตูนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาจึงพยายามต่อสู้กับปัญหานี้ ด้วยการหาช่องทางใหม่ในการเผยแพร่ผลงานของพวกเขาผ่านระบบดิจิตอล ด้วยวิธีต่างๆ ซึ่ง E-manga ก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ทำให้การเผยแพร่ผลงานทางนี้ถูกกฎหมายมากยิ่งขึ้น โดยได้ผนวกกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอันทันสมัยตามเทรนด์อย่าง iphone,ipad,ipod เข้ามาช่วยในการเผยแพร่ผลงานด้วย ซึ่งก็มีสนพ.การ์ตูนที่ได้ริเริ่มในการนำผลงานของพวกเขาไปทำเป็น App ให้ผู้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ดาวน์โหลด ซึ่งก็มี โชกะกุกัง,ชูเอย์ฉะ,โคดันฉะ ,Viz Media(อเมริกา) , Square-Enix ที่มีข่าวว่าจะวางจำหน่าย E-manga ยังแถบอเมริกาเหนือและยุโรป และASCII Media Works โดดร่วมวง E-manga กับนิตยสาร Dengeki Comic Japan เช่นเดียวกับร้านคิโนะคุนิยะ ที่โดดทำธุรกิจ E-Book เช่นกัน....คาดว่าสนพ.อื่นจะทยอยทำตาม

นอกจาก E-Manga จะเริ่มมีการผลักดันเข้าสู่ตลาดมากขึ้นแล้ว ในส่วนของการเผยแพร่การ์ตูนผ่านทางเว็บไซต์อย่างถูกกฎหมายนั้น ปัจจุบันกำลังมีการศึกษาหาแนวทางด้านธุรกิจของเว็บประเภทนี้ รวมถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันระหว่าง ผู้ดูแลเว็บ,เจ้าของผลงานการ์ตูน และ ผู้เข้าใช้บริการเว็บ ซึ่งก็มีทั้ง โปรเจ็ค OpenManga ของ ผู้ดูแลเว็บ MangaHelpers ,โปรเจ็คเว็บสแกนการ์ตูนถูกกฎหมายของ DMP (Digital Manga Publishing ), J Manga โปรเจ็คเว็บมังงะสแกนในอเมริกาเหนือ ที่ได้บรรดาสนพ.ในญี่ปุ่นร่วมกันจัดตั้ง และ J-Comi เว็บอ่านการ์ตูนที่จัดตั้งโดย อ.เคน อาคามัตซึ ผู้แต่ง Love Hina และ เนกิมะ ที่จะมีการแทรกโฆษณาลงในไฟล์การ์ตูนอีกด้วย

ในส่วนของสนพ.ในบ้านเรานั้น มีเพียงสนพ.เนชั่นฯ ที่ได้เพิ่มช่องทางเผยแพร่ผลงานการ์ตูนด้วยการเปิดให้บริการอ่านการ์ตูนผ่านทางมือถือ และ iPad และคาดว่า สนพ.อื่นๆในบ้านเราคงจะหันไปทำตามในอนาคต.....


  อลเวงแห่งปี : ร่างกฎหมายแสนวุ่นของสภาโตเกียว


(ภาพคนต่อคิวเข้างาน Tokyo International Anime Fair
Credit: yamagatasite.blogspot.com )   

  ส่วนข่าวใหญ่ในวงการการ์ตูนอีกข่าวหนึ่งที่อดพูดถึงไม่ได้เช่นกัน ก็คือ ความพยายามในการจัดระเบียบสื่อใน การ์ตูน อนิเม เกม และ อื่นๆ ของสภาโตเกียว เพื่อที่จะไม่ให้สื่อที่ไม่เหมาะสมเข้าถึงตัวเยาวชน โดย นาย ชินทาโร่ อิชิฮาร่า ผู้ว่ากรุงโตเกียว ก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการผลักดันร่างกฏหมายฉบับนี้เข้าสู่สภาโตเกียว และหวังที่จะให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกบัญญัตขึ้นเป็นกฏหมายฉบับเต็มตัว ทว่า ความพยายามในการผลักดันร่างกฎหมายนี้ของเขานั้น ต้องเผชิญกับมรสุมจากคนในวงการการ์ตูน มาโดยตลอด นับตั้งแต่ การเสนอร่างกฎหมายฉบับแรกเริ่มที่ทำเอาคนวงการการ์ตูนถึงกับอึ้งไปตามๆกัน กับ กฎข้อบังคับที่ให้แบนตัวละครที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ปรากฏในการ์ตูน อนิเม และ สื่อต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า ร่างฉบับนี้เจอคนวงการการ์ตูนรุมถล่มต่อต้านอย่างหนัก (น่าจะเป็นอย่างงั้น ในเมื่อการ์ตูนส่วนใหญ่ มักจะเดินเรื่องด้วยตัวละครอายุราวๆนี้ทั้งนั้น) แต่ผลสุดท้าย ร่างฉบับนี้ได้ไม่ผ่านความเห็นชอบในสภาโตเกียว เมื่อกลางปีที่ผ่านมา

  แต่อย่างไรก็ตาม นาย อิชิฮาร่า ก็ยังไม่ลดละความพยายาม ด้วยการยื่นเสนอร่างกฎหมายนี้ใหม่ ในฉบับปรับปรุง ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนจากการแบนตัวละครอายุต่ำกว่า 18 ปี ไปเป็นการควบคุมสื่อไม่เหมาะสม ไม่ให้มีการผลิตและจำหน่ายให้เข้าถึงเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี แทน โดยเฉพาะกับสื่อที่มีเนื้อหาถึงการแสดงออกในเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม ผิดจริยธรรม หรือ เป็นการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนที่เกินกว่าคนในสังคมจะรับไหว เป็นต้น ซึ่งก็รวมไปถึง การฆ่าตัวตาย หรือ การอาชญากรรม และ ร่างกฎหมายในฉบับปรับปรุงนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบในสภาโตเกียว และเริ่มมีผลบังคับใช้ทั่วมหานครโตเกียว วันที่ 1 เม.ย. 2011 โดยให้ผู้ประกอบการ ร้านค้าจัดการกันเองก่อน และ จะมีการควบคุมการขายและการเช่าสื่อลามกไม่เหมาะสมอย่างจริงจัง ในวันที่ 1 ก.ค. 2011

  แม้ว่าร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบสมใจคนในสภาโตเกียว แต่จากการที่ตัวกฎหมายมีคำนิยาม และ ข้อกำหนดที่ค่อนข้างจะกำกวม กว้างเกินไป ไม่มีมาตรฐานแน่นอน ซึ่งรวมไปถึง เป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็นของบรรดานักเขียนการ์ตูนอีกด้วย จึงทำให้คนในวงการการ์ตูนญี่ปุ่นต่างก็รู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจกับร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ดี ซึ่งความไม่พอใจนี้ได้ส่งผลกระทบถึงงาน Tokyo Animation Fair (TAF) 2011 ที่มีคนจากสภาโตเกียวเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงานนี้ด้วย โดย สนพ.การ์ตูนระดับชั้นนำทั้ง10 แห่ง ได้พร้อมใจกันต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ ด้วยการร่วมบอยคอต ถอดถอนบูธออกจากงาน TAF อีกทั้ง ยังมีสนพ.และบริษัทอนิเมส่วนนึง ได้พร้อมใจแยกตัวไปจัดงาน Anime Contents Expo แทน โดยจัดไล่เลี่ยกับ TAF ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัญหาความระหองระแหงระหว่างคนวงการการ์ตูนกับคนในสภาโตเกียว ก็ไม่ส่งผลกระทบต่องาน Comic Market งานการ์ตูนโดจินงานใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่จะจัดขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งทางผู้จัดงานดังกล่าวก็ได้เตรียมแผ่นพับให้ผู้จำหน่ายโดจินตามเซอร์เคิ่ลดังกล่าวให้เข้าใจในรายละเอียดของกฎหมายนี้ เพื่อนำไปจัดระเบียบสินค้าของตนเองให้อยู่ในกรอบของกฎหมายใหม่ (ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า โดจินส่วนหนึ่งที่วางขายในงานนี้ มีเนื้อหา 18+ ด้วย)..........ก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไปว่า บรรดาสนพ. รวมถึงบริษัทการ์ตูน อนิเม จะปรับตัวกันอย่างไรกับการมาของกฎหมายฉบับนี้ แล้วดราม่าระหว่างคนวงการการ์ตูนกับสภาโตเกียวจะจบลงที่ตรงไหน อย่างไร!?

  นอกจากที่โตเกียวจะมีการจัดระเบียบสื่อแล้ว ที่จังหวัดอื่นๆในญี่ปุ่นก็มีการจัดระเบียบเช่นกัน โดยที่เมืองโอซาก้า และ จ.ชิงะ ได้เตรียมดำเนินการกวาดล้างนิตยสารการ์ตูนบอยเลิฟที่มีเนิ้อหาไม่เหมาะสมเช่นกัน

 



  คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พลพรรคกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางของลูฟี่ ยังคงได้รับการตอบรับจากบรรดาแฟนการ์ตูนอย่างล้นหลาม และนับวัน วันพีซ ยังคงได้รับการต้อนรับกันอย่างอบอุ่นเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เรื่องนี้มียอดตีพิมพ์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ รวมเล่ม 56 ทำสถิติยอดตีพิมพ์ครั้งแรก 2.85 ล้านเล่ม จากนั้น รวมเล่ม 57 ได้สร้างความฮือฮาไปทั่วเกาะญี่ปุ่น ด้วยการสร้างสถิติเป็นการ์ตูนที่มียอดตีพิมพ์สูงที่สุดในญี่ปุ่น ถึง 3 ล้านเล่ม เท่านั้นไม่พอในเล่ม 59 ยังทุบสถิติยอดตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยจำนวน 3,200,000 เล่มด้วยกัน และจากตรงนี้ทำให้วันพีซทั้ง 60 เล่ม มียอดตีพิมพ์รวมกันเกิน 200 ล้านเล่มแล้ว มากที่สุดเป็นอัยดับ 1 ของจัมป์ และ มากกว่าการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ

  ขณะเดียวกัน ในส่วนของยอดขายนั้น ถือได้ว่าเรื่องนี้สามารถทำยอดขายของฉบับรวมเล่ม ได้เกิน 2 ล้านเล่ม ทุกเล่ม นับตั้งแต่เล่ม 56 ที่มียอดขายพุ่งทะลุถึง 2,016,841 เล่ม ต่อจากนั้น เล่ม 57-60 สามารถทำยอดได้ดังนี้
(ป.ล.นับถึงวันที่ 21 พ.ย. 2010)

    “ONE PIECE” เล่ม 57 2,578,730 เล่ม

    “ONE PIECE” เล่ม 58 2,557,356 เล่ม

    “ONE PIECE” เล่ม 59 2,593,580 เล่ม

    “ONE PIECE” เล่ม 60 2,492,183 เล่ม

  ซึ่งจากยอดขายที่ปรากฏออกมานั้น ทำให้พวกลูฟี่ มีดีพอที่จะพา เล่ม 56-60 เหมา 5 อันดับแรก ของชาร์ตการ์ตูนรวมเล่มขายดีที่สุดประจำปี 2010 ของ Oricon อีกทั้งตลอดปี 2010 นี้ วันพีซสามารถทำยอดขายฉบับรวมเล่มรวมกันทั้งสิ้น 32,343,809 เล่ม ซึ่งมากพอที่จะกลายเป็นการ์ตูนเรื่องที่ทำยอดขายสูงที่สุดประจำปีในญี่ปุ่น (รวมถึงเป็นหนังสือที่มียอดขายสูงที่สุดประจำปี 2010 แบบไม่จำกัดประเภทด้วย) เท่านั้นยังไม่พอ พอมารวมกับจำนวนยอดขายของวันพีซเมื่อปีก่อนหน้านั้น ทำให้เรื่องนี้ขายได้รวมกันทั้งสิ้น 186.50 ล้านเล่ม แซงหน้าสถิติดั้งเดิมที่ ดราก้อนบอล เคยทำเอาไว้ 152.22 ล้านเล่มด้วยกัน จึงทำให้ วันพีซ ขึ้นทำเนียบกลายเป็นเรื่องที่ขายดีที่สุดในโชเน็นจัมป์ รวมถึง ยังเป็นการ์ตูนเรื่องที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์การ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งยากที่จะมีเรื่องไหนมาทาบสถิติได้ในขณะนี้ (หากอ.โอดะ ไม่ตัดจบวันพีซ ภายในปีสองปีนะ)

  เท่านั้นยังไม่พอ วันพีซยังได้ปลื้มอีกหลายชั้น เมื่อหนังจอเงินภาคที่ 10 ของเรื่องนี้อย่าง Strong World นั้น ก็ขึ้นทำเนียบเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อนิเมที่ทำรายได้สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเป็นรองเพียงแค่ Karigurashi no Arrietty ของ Studio Ghibli เท่านั้น ขณะเดียวกัน ยอดขาย DVD/Blu-ray ของหนังภาคนี้ ก็ทำยอดขายอยู่ในเกณฑ์ที่เยี่ยมยอด ไม่แพ้มังงะภาคปกติเลยทีเดียว!!!! เช่นเดียวกับฉบับอนิเมตอนที่ 446 ของพวกเขา ที่ออกฉายเมื่อวันที่ 11 เม.ย. นั้น ได้ทำเรตติ้งสูงสุดถึง 13.8% ซึ่งนับเป็นเรตติ้งสูงที่สุดของเรื่องนี้ นับตั้งแต่ที่เรื่องนี้ได้ย้ายมาฉายในวันอาทิตย์ตอน 9.30 น. เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 2006 และติดในทำเนียบรายการทีวีเรตติ้งสูงสุดในแถบคันโตอีกด้วย

  จากการที่ฉบับมังงะกับอนิเม รวมถึง สินค้าคาแร็คเตอร์ สามารถทำยอดขาย โกยกำไรกันขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจ ที่ อ.เอย์อิจิโร่ โอดะ จะสามารถสร้างรายได้ให้กับตนถึง 2 พันล้านเยนต่อปีเลยทีเดียว!!!!


  กอบโกยรางวัลแห่งปี : Summer Wars

  แม้ Summer Wars หนังอนิเมที่ ผกก.มาโมรุ โฮโซดะ กับ สตูดิโอ MADHOUSE ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำ จะออกฉายไปเมื่อปี 2009 แต่ด้วยความที่ตัวหนังมีความยอดเยี่ยมในหลายๆด้าน และสร้างความประทับใจแก่ผู้ชมมานักต่อนัก จึงไม่แปลกใจเลย ที่เรื่องนี้จะได้รับการตอบแทนจากความเหน็ดเหนื่อยทุ่มเท ด้วยการโกยมาหลายรางวัลจากหลายสถาบัน จนต้องสร้างตู้ใส่ถ้วยรางวัลเพิ่มเติม ซึ่งรางวัลต่างๆที่ Summer Wars คว้ามาได้นั้น มีดังต่อไปนี้ :

    - รางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม Mainichi Film Awards ครั้งที่ 63
    - รางวัลชนะเลิศประเภทอนิเมชั่น ของ Japan Media Arts Festival Awards ครั้งที่ 13
    - รางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม ของ Japan Academy Prizes
    - รางวัลชนะเลิศประเภทอนิเมชั่น ในงานเทศกาลหนัง Sitges
    - รางวัลยอดเยี่ยม Digital Media Awards หรือ AMD Awards ครั้งที่ 15
    - รางวัล Tokyo Anime Awards ครั้งที่ 9 สาขา ผู้กำกับยอดเยี่ยม,เนื้อเรื่องดั้งเดิมยอดเยี่ยม,บทยอดเยี่ยม,กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และ ออกแบบตัวละครยอดเยี่ยม
    - รางวัลอนิเมชั่นยอดเยี่ยม ในงานเทศกาลหนัง Anaheim
    - รางวัลอุตสาหะด้านศิลปะ จาก กระทรวงศึกษาธิการ,วัฒนธรรม,กีฬา,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของญี่ปุ่น ประจำปี 2010
    - รางวัลสาขา Individual Award จาก Kobe Awards ครั้งที่ 15 (มาโมรุ โฮโซดะ)

  ซึ่งดูจากรางวัลเกียรติยศที่พวกเค้าคว้ามาได้นั้น แฟนๆอนิเมบ้านเราคงต้องลุ้นให้ค่ายใดค่ายหนึ่งทำออกมาวางขายกันซะจริงๆ

  นอกจากนี้ Summer Wars ก็มีสิทธิ์ที่จะคว้ารางวัลใหญ่ในระดับฮอลลิวู้ด จากการพยายามผลักดันของ Funimation ผู้จัดจำหน่ายเรื่องนี้ในอเมริกา ในการดันเรื่องนี้ให้ได้เข้าชิงในเวทีออสการ์ ครั้งที่ 83 สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยม แต่การที่เรื่องนี้จะฝ่าดงติด 1 ใน 5 ผู้เข้าชิงรางวัลสาขานี้ได้หรือไม่นั้น จะต้องแข่งกับอนิเมชั่นเรื่องอื่นๆอีก 14 เรื่องที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นผู้เข้าชิงในสาขานี้เช่นกัน (ซึ่งมีแต่การ์ตูนเจ้าถิ่นทั้งนั้น) ส่วนจะไปได้ถึงฝั่งฝันเหมือนกับ Spirited Away เมื่อปี 2003 หรือไม่นั้น ก็ต้องเดาใจคณะกรรมการออสการ์กันล่ะคร้าบ




  แม้จะเป็นปีเสือดุ แต่ก็เป็นปีทองของนู๋ซาวาโกะ !!


  !
  ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Kimi ni Todoke หรือชื่อในภาษาไทยคือ ฝากใจไปหาเธอ นั้น เป็นการ์ตูนแนวโชโจที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น อยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งผลงานฮิตของ อ.คารุโฮะ ชิอินะ เรื่องนี้ ยังคงมีกระแสที่แรงอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนๆหน้านี้ หลังจากที่ได้รับการดัดแปลงให้เป็นอนิเมทีวีซีรี่ย์ และจากการที่อนิเมซีซั่นแรกได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงทำให้เรื่องนี้ได้รับการไฟเขียวให้ได้ทำซีซั่น 2 ต่อ อีกทั้ง เรื่องนี้ยังได้มีการดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์คนแสดง ออกฉาย ก.ย.ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเคย ไม่เพียงแค่นั้น การมาของฉบับหนังทำให้ ฉบับรวมเล่มทั้ง 12 เล่ม ต่างก็พาเหรดติด 1 ใน 100 อันดับการ์ตูนขายดีที่ญี่ปุ่นของ Oricon ในช่ววันที่ 20-26 ก.ย.ที่ผ่านมา แถมเล่ม 6 -12 ของเรื่องนี้ยังสร้างสถิติขายดีจนทะลุเกิน 1 ล้านเล่ม ติดต่อกัน อีกต่างหาก............. จากที่ว่ามานี้ ก็คงไม่แปลกใจเลย ที่เราจะยกให้ปี 2010 นี้ ถือเป็นปีทองของเรื่องนี้ อย่างแท้จริง!!!!

  อนึ่ง Kimi ni Todoke ปัจจุบันลงตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องในนิตยสาร Bessatsu Margaret ตั้งแต่ปี 2005 เป็นเรื่องราวของ ซาวาโกะ คุโรนุมะ เด็กสาวไฮสคูล ผู้มีผมยาวสีดำสนิท และมีผิวขาวซีดกว่าคนอื่นๆ เธอจึงถูกเพื่อนๆเรียกว่า "ซาดาโกะ" (ผีจากหนังเรื่อง Ring) เธอจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆของ คาเซฮายะ หนุ่มสุดฮ็อตประจำชั้น รวมถึง เพื่อนๆร่วมชั้นเรียนของเธอ



  ปีซบเซาอย่างต่อเนื่องของ สนพ.การ์ตูน / สตูดิโออนิเม
ถือเป็นความระส่ำอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจโลก จึงทำให้องค์กรต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอด แต่ทว่าในจำนวนนั้น ก็ย่อมมีบางหน่วยงาน หรือ องค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวกับสภาวะโดยรอบตัวได้ จึงต้องปิดตัวไปในที่สุด ซึ่งในวงการอุตสาหกรรมการ์ตูนอนิเมญี่ปุ่นต้องพบเจอสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน โดยเฉพาะ สนพ.ชั้นนำต่างก็ประสบกับภาวะการขาดทุนอบ่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันสตูดิโออนิเมขนาดเล็กและกลางกลับเจอสถานการณ์เลวร้ายกว่า เมื่อบางแห่งไม่สามารถปรับกลยุทธ์เข้ากับสภาพเศรษฐกิจโลกได้ทัน จนต้องทยอยกันปิดตัว และเป็นแบบนี้มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2009 แต่บางแห่งก็ถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลายกันเลย เช่น Group TAC , Office Ao และ Future Planet

  สำหรับบางสตูดิโอหรือสนพ. แม้จะยังเอาตัวรอดได้ แต่ก็ต้องแลกกับการสั่งปรับพนักงาน หรือสั่งปิดสตูดิโอสาขา เช่น Imagi ผู้ผลิตหนังCG Astro Boy ที่ได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญาพนักงาน เป็นจำนวนมากกว่า 300 คน พร้อมกับปิดสตูดิโอสาขา LA สหรัฐฯ เช่นเดียวกับ สนพ. Viz Media ในอเมริกา ได้เลย์ออฟพนักงาน 60 คน พร้อมปิดสาขานิวยอร์ค ,DC Comics ปิดสำนักพิมพ์ลูกในสังกัดอย่าง CMX Manga , IG Port บริษัทแม่ของสตูดิโอ Xebec กับ Production I.G กำลังประสบปัญหาขาดทุนและค้างหนี้ , Namco Bandai สาขาอเมริกา ประกาศเลย์ออฟพนักงาน 90 คน เป็นต้น

  ขณะที่บางบริษัทก็ได้วางแผนปรับปรุงโครงสร้างขนานใหญ่เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา เช่น Avex Entertainment ที่เพิ่มแผนกอนิเม,Bandai NAMCO ที่เพิ่มบริษัทในเครืออีกหลายบริษัท หรือ TV Tokyo โดดเข้าถือหุ้น Crunchyroll เว็บไซต์วีดีโอออนไลน์ของสหรัฐฯ ,Production I.G เตรียมเข้าถือครองหุ้น Tatsunoko Pro.,TV Asahi ฮุบกิจการ Shin-ei Animation เต็มตัว รวมถึง ชูเอย์ฉะ ปรับกลยุทธ์ด้านนิตยสารการ์ตูน โดยตีพิมพ์นิตยสารในเครือเพิ่มเติมอย่าง Jump Next -Super Strong Jump - Girl Jump และเปลี่ยนโฉม Young Jump รายเดือน ให้กลายเป็น Miracle Jump เป็นต้น

  แม้จะเจอแต่ข่าวไม่ดี แต่สำหรับบางสตูดิโอ อย่าง Gonzo นั้น ถือว่าปีนี้พวกเขาได้ผ่านพ้นวิกฤติอันเลวร้ายซักที แถมพวกเขายังได้จ่อคิวทำโปรเจ็คใหม่ๆตามมาอีกในอนาคต และเพื่อจะให้อุตสาหกรรมอนิเมญี่ปุ่นอยู่รอดนั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้ทุ่ม งบ 214.5 ล้านเยน ในการเทรนอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ ผ่านทางการทำโปรเจ็คอนิเมเรื่องสั้น 4 เรื่อง โดยเหตุผลที่ต้องมีการเทรนกัน ก็เพราะหากไม่ฝึกฝนกันตอนนี้ กระบวนการทำอนิเมในญี่ปุ่นอาจต้องมีการจ้างสต๊าฟ ทีมงานจากต่างประเทศกันมากขึ้น ซึ่งก็นำไปสู่การขาดโอกาสในการสอนเทคนิคการทำอนิเมชั่นให้กับรุ่นต่อๆไปใน ญี่ปุ่นก็เป็นได้........



  ก็อปปี้ข้ามชาติบรรลือโลก : Bleach vs Incarnate ,หนัง Disney ver. สยามประเทศ ยัน กันดั้มยักษ์เมืองจีน !!!!?
  ตลอดปี 2010 ที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่า มีข่าวดราม่าก๊อปปี้สะท้านโลกของวงการอนิเมการ์ตูนเกิดขึ้นอยู่เนื่องๆ และ ที่เป็นข่าวฮือฮากันสุดๆ ก็เริ่มจาก กรณีที่การ์ตูนคอมิคอเมริกันเรื่อง Incarnate ที่แต่งขึ้นโดย Nick Simmons ทายาทของ Gene Simmons นักร้องนำวง Kiss ที่ถูกคนอ่านจับได้ว่าไปก๊อปเรื่อง บลีช การ์ตูนยมทูตบู๊กันของ อ.ไทเทย์ คุโบะ ชนิดที่ ตัวละคร ฉาก และองค์ประกอบอื่นๆ นั้น คล้ายกับต้นฉบับเป๊ะๆ ราวกับลอกมาทั้งดุ้น จากกรณีที่เกิดขึ้น Radical สนพ.ต้นสังกัดของเรื่องนี้ จึงตัดสินใจหยุดตีพิมพ์และออกวางจำหน่ายเรื่องนี้ทันทีทันใด พร้อมกับพยายามติดต่อบ ชูเอย์ฉะ กับ Viz Media ต้นสังกัดของบลีชในญี่ปุ่น และ อเมริกา ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พอหลังจากข่าวดังกล่าวได้แดงขึ้นมา Nick Simons จึงตัดสินใจยอมรับความผิดของตน ภายในไม่กี่วัน

 

  จากนั้นในช่วงกลางปี เว็บไซต์ Yahoo.com ก็ได้ลงข่าวที่ทำเอาคอการ์ตูนบ้านเราถึงกับเสียหน้าไปตามๆกัน เมื่อข่าวที่ว่านั้นก็เป็น หนังการ์ตูน Beauty and the Beast ที่ผลิตโดยคนไทย ที่มีลักษณะองค์ประกอบ แทบจะเหมือนกับต้นฉบับของ Walt Disney แทบทั้งดุ้น!! ซึ่งทาง Yahoo.com ก็ได้แจกแจงเปรียบเทียบความเหมือนของ 2 เวอร์ชั่นนี้ทุกจุด พร้อมกับเขียนข้อความในเชิงประจาน ไม่เพียงแค่นั้น ตามข่าวยังบอกอีกว่า บริษัทจากไทย ยังได้ก๊อปปี้หนังอนิเมชั่นของ Disney เรื่องอื่นๆอีกด้วย ซึ่งก็เพียงพอที่จะสร้างความอับอายแก่คนไทยไปทั่วโลกเลย .....จากข่าวนี้ เชื่อว่า คอการ์ตูนบ้านเราคงจะเห็นกันมานานกับฉบับก๊อปปี้ของหนังการ์ตูนดิสนี่ย์ ซึ่งรวมไปถึง "ไซโดมอน" การ์ตูนที่ก๊อปปี้มาจากโดราเอมอนแทบทั้งดุ้น!!!! (จริงๆเมื่อก่อน เรา เคยมี "ไดโรม่อน" ที่ก็อปโดราเอมอนมาเป๊ะ แต่รายนี้เหนือชั้นกว่า เพราะ ทำเป็นอนิเมชั่นด้วย) ซึ่งเราก็ได้แต่แปลกใจว่า ทำไมผู้ผลิตรายนี้ยังคงหน้าด้านหน้าทนทำของก๊อปปี้กันต่อไป ชนิดที่ไม่สะทกสะท้านกับความเสียใจและการถูกประนามจากคอการ์ตูนชาวไทยที่รักความถูกต้อง แล้วแบบนี้ อนิเมชั่นบ้านเราจะได้รับการยอมรับมากขึ้นได้อย่างไร!!!!! (ซึ่งส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มาจาก นายทุนที่มีแนวคิดมักง่าย กะเอากำไรโดยไม่สนความถูกต้องชอบธรรม อีกเช่นกัน)

 

  ต่อมาในช่วงปลายปี คอการ์ตูนก็ได้ฮือฮาอีกรอบ เมื่อสวนสนุกแห่งหนึ่งในมลฑล เสฉวน ประเทศจีน ได้จัดทำหุ่นกันดั้มขนาดยักษ์ ออกมาตั้งโชว์ฉลองเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งตัวหุ่นนั้นมีลักษณะเหมือนกับหุ่นกันดั้มขนาดยักษ์ที่ยืนตระหง่านบนเกาะโอไดบะ กับ เมือง ชิซึโอกะ ในปัจจุบัน แทบจะทุกอย่าง ต่างกันตรงที่ หุ่นจากจีนมีคนละสี มีความสูงมากกว่า แต่ใช้วัสดุราคาถูกๆมาประกอบกันเป็นตัวหุ่นเท่านั้น และจากการมาของหุ่นกันดั้มเมดอินไชน่าตัวนี้ ทำให้เป็นที่สนใจของบรรดาคอการ์ตูน และ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง (แต่บางคนไม่คิดอะไร เพราะจีนขึ้นชื่อเรื่องก๊อปปี้อยู่แล้ว) จนทำเอาสื่อจากญี่ปุ่นพยายามออกข่าว และ เค้นความจริงจากทางสวนสนุกว่า ตัวหุ่นก๊อปมาจากกันดั้มยักษ์ของพวกเขาหรือไม่ ซึ่งทางสวนสนุกก็ออกโรงปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมกับดริฟต์ ยอมเจ็บสีข้าง อ้างต่างๆนานา ว่า ไม่ได้ก๊อป เป็นของออริจินอลของพวกเขา แต่พอถูกเค้นและตรวจสอบมากๆเข้า จึงทำให้ทางสวนสนุกตัดสินใจรื้อหุ่นตัวนี้ออกไป ราวกับว่า ที่นี่ไม่เคยมีหุ่นตัวนี้มายืนโชว์มาก่อน!!!

 

  จากข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็ถือเป็นบทเรียนสำหรับคนที่ต้องการจะสร้างสรรค์ผลงานของตน ที่เวลาจะสร้างสรรค์ออกแบบงานชิ้นนึง ขอให้เน้นความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อย่าลอกเลียนต้นฉบับมากจนเกินไป ซึ่งของต้นฉบับนั้น มีไว้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการสร้างงานของตนเท่านั้น......


 

  เคว้งคว้างแห่งปี: GUNNM ต้นฉบับ + โปรเจ็คหนังฮอลลิวู้ด


  แม้จะเป็นการ์ตูนเก่าแก่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ถือว่ในรอบปีที่ผ่านมาก็มีข่าวคราวเกี่ยวกับ GUNNM (Battle Angel : Alita ในเวอร์ชั่นฝรั่ง) มากพอสมควร แต่ส่วนใหญ่ข่าวจะออกแนว ในแง่ความไม่แน่นอนในอนาคตเสียมากกว่า นับตั้งแต่ฉบับการ์ตูนภาค Last Order นั้น อ.ยูคิโตะ คิชิโร่ ผู้แต่งเรื่องนี้ ได้ปีนเกลียวกับ สนพ.ชูเอย์ฉะ ต้นสังกัด จากการที่ผู้ดูแลของเขาขอร้องให้เขาช่วยแก้ประโยคใน GUNNM ภาคแรกฉบับตีพิมพ์ใหม่ ซึ่งอาจมีผลทำให้เขาส่งต้นฉบับตอนที่ 100 ของ Last Order ไม่ทัน แถมยังถูกขู่ว่า หากไม่ทำตาม ก็มีผลต่อ GUNMM ฉบับตีพิมพ์ใหม่ที่อาจไม่เห็นบนแผงเลย ถึงแม้ว่าเขาจะยอมทำตามคำขอของผู้ดูแล จนผลงานของเขาทั้งสองชิ้นได้วางขายและลงตีพิมพ์ตามปกติ แต่ทว่า เขาก็ได้ตัดสินใจหักหลังต้นสังกัด ด้วยการเตรียมหอบข้าวของย้ายจากต้นสังกัดเก่า ไปเจรจากับสนพ.ต้นสังกัดใหม่ในการตีพิมพ์ผลงานของเขาต่อ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ก็มีผลทำให้อนาคตของเรื่องนี้ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ตอนที่ 100 ของ Last Order นี้ จะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องนี้หรือเปล่า?

  ขณะเดียวกันในเวอร์ชั่นหนังจอเงินคนแสดงฮอลลิวู้ด ที่ James Cameron ผู้กำกับคนดังได้ตั้งอกตั้งใจกับโปรเจ็คนี้เป็นพิเศษ ซึ่งในช่วงต้นปีนี้ก็ออกข่าวว่า โปรเจ็คนี้ได้มีการเขียนบท มีการดีไซน์งานมา 1 ปี รวมถึงยังจะใช้เทคนิคแสดงภาพกราฟิคแบบเดียวกับที่ใช้กับ Avatar อีก แต่ทว่า ข่าวคราวก็ได้เงียบหายไป จนกระทั่งมีการเปิดเผยในภายหลังว่า โปรเจ็คนี้ถูกระงับ เนื่องจาก ผกก. Cameron จำต้องลัดคิวทำโปรเจ็ค Avatar ภาค 2 ก่อนเป็นการด่วน!!! ก็ต้องรอต่อไปว่า เราจะได้ชมโปรเจ็คนี้กันในปี พ.ศ. ใด ?

  ....อย่างไรก็ตาม พูดถึงเรื่องนี้ ก็พาลนึกถึงการ์ตูนอีกเรื่องที่มีสถานการณ์ไม่แน่นอนอีกเช่นกัน นั่นคือ Vagabond ที่มีข่าวว่าจะจบภายในปี 2010 แต่เอาเข้าจริง อ.ทาเคฮิโกะ อิโนะอุเอะ กลับประสบปัญหาด้านสุขภาพ จึงทำให้ต้องเลื่อนกำหนดการจบของพ่อมุซาชิไปอย่างไม่มีกำหนด เช่นเดียวกับ Ookiku Furikabutte ที่ผู้เขียนขอหยุดพักเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี!!


  2010 ปีแห่งการผุดโปรเจ็คสาวไอด้อล 2 มิติ เน้นปริมาณ
ต้องบอกว่าเป็นผลสืบเนื่องจากความนิยมในวงไอด้อลเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง AKB 48 จึงทำให้บริษัทผู้ผลิตอนิเม หรือ สื่อเกี่ยวข้องกับการ์ตูน ได้หันมาสนใจที่จะทำโปรเจ็คที่มีลักษณะคล้ายๆกัน เพื่อเป็นการตอบโจทย์และสร้างรายได้ให้พวกเขามากขึ้น ซึ่งแน่นอนกลุ่มเป้าหมายนั้น คงหนีไม่พ้นบรรดาหนุ่มๆโอตาคุ อย่างแน่นอน เริ่มจากโปรเจ็ค Love Live! ที่เป็นการร่วมมือกันระหว่างสตูดิโอ Sunrise กับ นิตยสาร Dengeki G's ของค่าย ASCII Media Works และ AGC38 ที่คิดขึ้นมาโดย Asahi Production โดยทั้งสองโปรเจ็คนี้จะทำออกมาในหลายรูปแบบทั้ง อนิเม เกม และ อื่นๆอีกตามมา ซึ่งถือเป็นการสร้างแบรนด์ต่างๆให้ผู้คนได้ติดตากันมากยิ่งขึ้นในอนาคต ส่วนสาวของค่ายไหนจะเด็ดดวงกว่ากันนั้น หนุ่มๆก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆงานนี้ หนุ่มๆเตรียมกินแกลบกันได้เลย!!!!!!

อย่างไรก็ตาม ด้วยความแรงของ AKB 48 จึงทำให้วงสาวไอด้อลกลุ่มนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับการ์ตูนเรื่อง AKB49 Renai Kinshi Jourei ที่ลงตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องในนิตยสาร โชเน็นแมกกาซีน


  2010 คดี "คิระ" จำแลง ณ เบลเยี่ยม ใกล้คลี่คลาย


  ข่าวนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง สำหรับคนที่นำอิทธิพลจากการ์ตูนไปใช้ในทางที่ไม่ดี ซึ่ง เดธโน้ต ผลงานดังของ อ.ทสึงุมิ โอบะ กับ อ.ทาเคชิ โอบาตะ ยังคงเป็นเรื่องที่มักถูกคนบางคนที่แยกแยะอะไรไม่ออก นำเอาไปประพฤติปฏิบัติจนเกิดเรื่องอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะเด็กชาวอเมริกัน ที่มันเกรียนแตก สวมวิญญาณพี่ไลท์เขียนชื่อเพื่อนลงในโน้ต จนกลายเป็นที่กลัดกลุ้มของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ ทว่า วีรกรรมเด็กเหล่านี้ก็ต้องชิดซ้ายไป เมื่อพบเจอกับคดีสุดสะเทือนขวัญ ที่มีคนตายจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อ 3 ปีก่อน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบศพชายนิรนามผิวขาวผู้หนึ่ง ถูกฆ่าหั่นศพอย่างโหดเหี้ยม ณ บริเวณสวนสาธารณะเมือง Saint-Gilles เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 ก.ย. 2007 อีกทั้งบริเวณที่พบศพนั้น เจ้าหน้าที่ได้พบร่องรอยตัวอักษรญี่ปุ่นที่คนร้ายทิ้งไว้บนดิน และ ยังพบกับกระดาษ 2 แผ่นที่เขียนข้อความภาษาอังกฤษว่า "WATASHI WA KIRA DESS." ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า "ชั้นคือคิระ" ซึ่งทั้งข้อความและลักษณะการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าฆาตกรพยายามจะโยงถึงการ์ตูนเรื่องเดธโน้ต ซึ่งเป็นการสื่อถึง ไลท์ เด็กหนุ่มผู้มีสมุดโน้ตแห่งความตาย ในฐานะของพระเจ้าผู้กำจัดอาชญากรร้ายให้หมดไปจากโลก

  และตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามตามหาเบาะแสของคดีนี้อย่างเงียบๆมาโดยตลอด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบตัวผู้ต้องสงสัย 4 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมโหดในครั้งนี้ โดย 3 ใน 4 คน เป็นผู้ลงมือฆ่า ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมโดยตรง โดยระหว่างการสืบสวน มีผู้ต้องสงสัย 2 คน ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริงโดยสันนิษฐานว่า ผู้ตายได้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ต้องสงสัยอย่างรุนแรง จนเกิดการทะเลาะกันถึงขั้นนำไปสู่การเสียชีวิตของเหยื่อ อีกทั้งการที่ผู้ต้องสงสัยได้ตัดสินใจทิ้งโน้ต 2 แผ่นดังกล่าววางอยู่ใกล้กับศพนั้น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เพราะพวกเขาเป็นแฟนการ์ตูนนั่นเอง

  อย่างไรก็ตาม ในรอบปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่ เดธโน้ต เรื่องเดียว ที่มีคนนำอิทธิพลด้านไม่ดีของเรื่องนี้ไปเลียนแบบ การ์ตูนสืบสวนขวัญใจของใครหลายคน อย่างโคนัน ก็โดนหางเลขไปด้วย โดยที่เกาหลี นั้น ตามแหล่งข่าวได้อ้างว่า พวกเขาได้เลียนแบบทริคการเคลื่อนย้ายศพจากโคนัน ไปใช้กับเหยื่อสาวที่ถูกฆาตกรรมโดยแก๊งวัยรุ่น (ดูจากที่เขาอธิบายทริคมา น่าจะลอกจากคินดะอิจิมากกว่า ) รวมถึง ที่ญี่ปุ่น แก๊งวัยรุ่น 3 คน ก่อคดีปล้นทรัพย์ ในนามของ จอมโจรคิดแห่งโอชิม่า ซึ่งได้แรงบันดาลจากจอมโจรคิด จากโคนัน เช่นกัน ..... ซึ่งจากข่าวที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนที่เราย้ำไปหลายรอบแล้วว่า สิ่งที่การ์ตูนได้นำเสนอไปนั้น ก็มีทั้งส่วนดี และ ไม่ดี ซึ่ง เราควรจะนำส่วนดีๆที่การ์ตูนเรื่องนั้นๆได้นำเสนอไปนั้น นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์จะดีกว่า แทนที่จะเอาส่วนแย่ๆจากเรื่องนั้นไปใช้ ซึ่งอาจเกิดโทษต่อตนเอง และ ผู้อื่น จนเกิดเรื่องใหญ่ตามมา.................................


  นานะ มิซึกิ : เซย์ยูเสียงทองระดับพันล้าน!! / อายะ ฮิราโนะ แม้ยังรุ่ง แต่ก็เจอมรสุมครั้งใหญ่ !!!


เซย์ยู หรือ นักพากย์ ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ค่อนข้างทำเงินได้สูงในญี่ปุ่น และ กลุ่มคนอาชีพนี้ ก็ยังสามารถเป็นใบเบิกทางสู่วงการบันเทิงเต็มตัว โดยเฉพาะกับคนที่มีรูปร่าง หน้าตาดี น้ำเสียงเพราะพริ้ง ซึ่งในชั่วโมงนี้ ก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองคนนี้ จัดเป็นนักพากย์หญิงที่ได้รับความนิยมสูงในญี่ปุ่นลำดับต้นๆเลย เพียงแต่ในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งสองต่างก็ประสบเรื่องราวที่ต้องว่าค่อนข้างจะสวนทางกัน

  เริ่มจาก นานะ มิซึกิ นักพากย์สาวที่หลายคนรู้จักกัน จากบทบาทของ ฮิวงะ ฮินาตะ จาก นารุโตะ กับ Fate Testarossa จาก Magical Girl Lyrical Nanoha นอกจากเธอจะมีฝีมือการพากย์เสียงเป็นที่ยอมรับจากคออนิเมแล้ว ในฐานะนักร้องไอด้อลนั้น เธอก็เด่นไม่แพ้กัน ดีไม่ดีอาจเหนือกว่าในฐานะนักพากย์แล้วก็เป็นได้ เพราะไม่ว่าเธอจะออกซิงเกิ้ลใหม่ อัลบั้มใหม่ ต่างก็ขายดิบขายดี ติดอันดับต้นๆของ Oricon Chart มาโดยตลอด และในต้นปีที่ผ่านมา เธอก็ได้สร้างสถิติอันแสนจดจำอย่างต่อเนื่อง เมื่อเธอเป็นนักพากย์คนแรกที่มีซิงเกิ้ลขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ของ Oricon กับ ซิงเกิ้ลที่มีชื่อว่า Phantom Minds ซึ่งถูกใช้เป็นเพลงประกอบหนังอนิเม Magical Girl Lyrical Nanoha The MOVIE 1st หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มิซึกิ ได้ทำสถิติเป็นนักพากย์คนแรกที่มีอัลบั้มขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ของ Oricon เมื่อปี 2009 จากอัลบั้ม Ultimate Diamond และจากความสำเร็จของเธอ ทำให้เธอมีงานพากย์และงานร้องเพลงเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น งานพากย์เสียงให้กับอนิเม Heartcatch Precure! ในบท Cure Blossom ,งานพากย์ตัวละครในมูฟวี่คอมิค เรื่อง Unico ผลงานของอ.เท็ตซึกะ โอซามุ รวมถึง การที่เธอได้รับเชิญให้ไปร่วมงานคอนเสิร์ตขาวแดงเป็นปีที่สองติดต่อกัน (คอนเสิร์ตขาวแดง เป็นรายการที่จัดขึ้นทุกสิ้นปี ทางช่อง NHK)

  ขณะเดียวกัน อายะ ฮิราโนะ นักพากย์สาวที่โด่งดังสุดขีดจากการพากย์ในบทบาทของ สึซึมิยะ ฮารุฮิ จาก Suzumiya Haruhi no Yuutsu กับ อิซึมิ โคนาตะ จาก Lucky Star แม้ในปัจจุบันนี้ เธอยังคงเป็นนักพากย์ที่ได้รับความนิยมในหมู่หนุ่มๆ และมีงานเข้ามาตลอดโดยไม่ขาดสาย แต่ถึงกระนั้น ในปีที่ผ่านมานี้ เธอก็ต้องประสบกับมรสุมครั้งใหญ่ เริ่มจากการถูกบรรดาแฟนคลับส่วนหนึ่งโกรธแค้นถึงขั้นขู่ฆ่าพร้อมทำลายข้าวของเกี่ยวกับเธอ อันเนื่องมาจากการที่เธอได้ให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีในเรื่องชีวิตส่วนตัว และ เรื่องความรัก ซึ่งข้อมูลเรื่องความรัก หรือความสัมพันธ์ ถือเป็นประเด็นต้องห้ามในการแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อมูล ใดๆ ต่อสาธารณะสำหรับ ไอดอล และนักพากย์สาวๆ ที่มีกลุ่มแฟนคลับเพศชายจำนวนมาก ...แค่ถูกขู่ฆ่ายังไม่พอ เธอก็เจอปัญหาด้านสุขภาพรุมเร้า เมื่อถูกตรวจพบว่า เธอมีเนื้องอกในสมอง อีกด้วย ถึงจะพบเจอมรสุมหลายด้านเข้ามา แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลทำให้เธอเสียกำลังใจจากการทำงานเลยซักนิด ซ้ำยังมีแรงฮึดในการทำงานมากยิ่งขึ้น ด้วยการรับงานแสดงละครเวทีเรื่อง " Wuthering Heights รวมถึงงานพากย์ งานร้องเพลง และ งานถ่ายแบบที่เธอคุ้นเคย (ซึ่งเธอผู้นี้ เคยบินมาถ่ายแบบที่เกาะภูเก็ตมาแล้ว....)



  อาจเป็นเพราะช่วงปีที่ผ่านมา วงการ์ตูนอนิเมญี่ปุ่นต่างก็ประสบกับปัญหาต่างๆรุมเร้า ทั้งปัญหาเศษฐกิจซบเซา , ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานการ์ตูน ตลอดจนมาตรากฎหมายควบคุมสื่อของสภาโตเกียว ที่ส่งผลต่อบรรดานักเขียนการ์ตูนเข้าอย่างจัง และด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จึงทำให้คนวงการการ์ตูนต่างก็เสนอแนะความคิดเห็นกันต่างๆนานา และหนึ่งในนั้น ก็มี อ.เคน อาคามัตซึ เจ้าของผลงานการ์ตูนฮาเร็มขึ้นชื่ออย่าง Love Hina , Negima ที่ดูจะคอมเมนต์เสนอแนวคิดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูนมากเป็นพิเศษ นับตั้งแต่ เขาได้เสนอความเห็นที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง เกี่ยวกับ การ์ตูนโมเอะ (การ์ตูนที่เน้นตัวละครสาวน้อยน่ารัก) ที่เขาได้ให้ความเห็นว่า กำลังจะหมดยุค พร้อมกับปัจจัย 3 อย่าง แถมยังฟันธงฉับว่า การ์ตูนแนวยูริมีแนวโน้มได้รับความนิยม (ซึ่งภายหลังก็ปรากฏว่า เขาคาดคะเนผิด) ต่อจากนั้น เขาก็ได้ให้ความเห็นพาดพิงการ์ตูนข้ามค่าย ด้วยการตั้งประเด็นว่า การ์ตูนโชเน็นระดับ Big 3 อย่าง วันพีซ นารุโตะ และ บลีช อวสานลง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสนพ.ล่ะ? ซึ่งประเด็นนี้เขาได้อิงมาจากรายได้ของสนพ.ยักษ์ใหญ่ที่นับวันมีจำนวนน้อยลง ยังไงซะ ประเด็นนี้ได้ข้อสรุปว่า ถึงจะเป็นเรื่องดัง แต่ยังไงซะเรื่องเหล่าย่อมมีวันจบอยู่วันยังค่ำ!! ซึ่งหากไม่มีเรื่องฮิตเรื่องใหม่ๆเข้ามาทดแทน สนพ.ต้องพบเจอกับสถานการณืที่ยากลำบากมากกว่านี้......

  จากตัวอย่างข้างต้น ก็เป็นแนวคิดที่ออกแนวบ่นเซ็งซะมากกว่า แต่ยังไงซะ อ.เคน ก็ได้คิดค้นไอเดียใหม่ๆ มาประยุกษ์ใช้การต่อสู้กับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ การเผยแพร่ผลงานการ์ตูนโดยไม่ได้รับอนุญาติ ที่บรรดาสนพ.การ์ตูนต่างก็ประสบกัน ณ ขณะนี้ ด้วยการผุดเว็บ J-Comi เว็บไซต์อ่านการ์ตูนออนไลน์ที่ถูกต้องลิขสิทธิ์ ซึ่งไฟล์การ์ตูนบนเว็บ ก็ทำออกมาในรูปแบบไฟล์ PDF ที่มีการแทรกโฆษณาเข้าไป แน่นอนว่า เมื่อคลิ๊กอ่านเข้าไปแล้ว บรรดานักเขียนการ์ตูนจะได้รับส่วนแบ่งจากการที่ผู้ใช้ได้คลิกโฆษณาเข้าไปในแต่ละหน้า ซึ่งตอนนี้ตัวเว็บอยู่ในขั้นทดลอง และดูเหมือนจะไปได้ดีซะด้วย เมื่อมีคนให้ความสนใจดาวน์โหลดอ่าน Love Hina ทั้ง 14 เล่ม เป็นจำนวนมาก ซึ่ง อ.เคน ก็มีแนวทางการทำเว็บนี้ในอนาคตเพิ่มเติม นั่นคือ เว็บจะมีการ์ตูนจากค่ายอื่นๆมาให้อ่านด้วย , จะมีโดจินชิที่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของผลงานโดยตรง พร้อมกับแทรกโฆษณาต่างๆเข้าไป และ ทางเว็บได้จับมือกับ Google ในการทำเบราเซอร์สำหรับอ่านการ์ตูน เพื่อรองรับนักอ่านจากนอกประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะกับ โฆษณาที่แทรกเข้ากับโปรแกรมนี้จะเป็นโฆษณาของคนอ่านท้องถิ่นประเทศนั้นๆโดยเฉพาะ .....ซึ่งหากรูปแบบธุรกิจที่อ.เคนได้คิดค้น ประสบผลสำเร็จ เชื่อได้ว่า เว็บอ่านการ์ตูนเว็บอื่นๆ คงจะหันมาทำในรูปแบบนี้อย่างแน่นอน......


  เพี้ยนแห่งปี: สาวไทยจัดงานศพตุ๊กตาโดเรเอมอน
  อาจเป็นข่าวที่หลายคนคงจะลืมเลือนกันไปแล้ว แต่ก็เป็นข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2010 และก็เกิดขึ้นในบ้านเรานะแหละ กับการที่สาวใหญ่ผู้หนึ่งได้ทำในสิ่งที่ชวนใครต่อใครได้อึ้งไปตามๆกัน นั่นคือ การทำพิธีศพให้กับตุ๊กตาโดราเอมอน!!! เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น ณ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อที่วัดแห่งหนึ่งได้จัดงานศพ โดยมองเผินๆ เหมือนกับงานศพปกติทั่วไป แต่หารู้ไม่ว่า ข้างในโลงนั้นกลับเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาโดราเอมอน ทั้งๆที่ รูปตั้งหน้าศพนั้นเป็นรูปภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้จากไปอย่างสงบ โดยสาวใหญ่ชาวอยุธยาผู้นี้ ได้จัดงานศพให้กับตุ๊กตาอย่างสมเกียรติใหญ่โต ไม่แพ้งานศพคนปกติ โดยใช้เงินเกือบ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งที่มาของงานศพดังกล่าว ก็มาจากการที่ เมื่อ 4 ปีก่อน คุณน้าผู้นี้มีปัญหาสุขภาพ ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ท้อแท้ต่อชีวิตเพระปัญหาเรื่องงานและปัญหาครอบครัว และด้วยปัญหาที่รุมเร้า คุณน้าจึงหันไปพึ่งทางธรรมจนไปพบ เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง ใน จ.สระบุรี โดยเจ้าอาวาสท่านก็ได้ให้ยาสมุนไพรมาให้พร้อมพูดให้กำลังใจ จากนั้นจึงมอบตุ๊กตาโดราเอมอนให้มาเลี้ยงเหมือนลูก บอกว่าจะให้คุณและทำให้จิตใจสบาย จากนั้นมา คุณน้าก็มักจะนำตุ๊กตาไปด้วยกันเสมอ จนกระทั่งปลายปี พ.ศ.2552 คุณน้าฝันว่า เด็ก (ซึ่งก็คือ ตุ๊กตาโดราเอมอน) มาโบกมืออำลาขอให้แม่ช่วยทำบุญจัดงานศพคนทั่วไปให้ด้วย คุณน้าจึงนำร่างของน้อง(ตุ๊กตา)ไปทำการสวดพระอภิธรรมศพ และ มีการฌาปนกิจศพตามมา

  แม้ว่าจะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงความเชื่อส่วนตัวของบุคคลนั้น แต่เชื่อว่า หลานคนที่ได้ยินข่าวนี้คงจะมองว่าเป็นการกระทำที่สุดแสนจะเพี้ยนอีกเช่นกัน .... ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการแยกแยะด้วยเช่นกัน แต่พูดก็พูดเถอะ ข่าวนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึง สังคมไทย กับ เรื่องราวความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังคงเป็นของคู่กันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงทุกวันนี้......


  เทรนด์หนังอนิเม 3D กำลังจะมา !!?
  จากการที่มนุษย์ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยมากขึ้นในทุกๆวัน จึงทำให้มีผลต่อสื่อบันเทิงที่ย่อมได้รับการพัฒนาให้สูงยิ่งขึ้นไป และจากการที่จอมอนิเตอร์ 3D ได้รับการพัฒนาขึ้น อีกทั้ง เทคนิคการถ่ายทำ 3 มิติ ก็มีการพัฒนามากขึ้นเช่นกัน นับจากความความสำเร็จของหนังอนิเมชั่น 3 มิติ อย่าง Toy Story , Shrek รวมถึง หนังที่ใช้เทคนิค 3 มิติ ขั้นสูง อย่าง Avatar กฌมีผลทำให้วงการอนิเมชั่นญี่ปุ่นเริ่มหันมาทำอนิเมชั่น 3 มิติ มากขึ้น ซึ่งในอนาคต เราก็จะได้เห็นโปรเจ็คหนังอนิเมชั่น 3 มิติ จากสตูดิโอของญี่ปุ่น มากขึ้น ทั้ง Captain Harlock ของ โตเอะ , Gaiking ของ Light Stage สตูดิโอผู้มีส่วนร่วมในการทำ CG เรื่อง Avatar, Gatchaman ของ Imagi ผู้ผลิต Astro Boy ฉบับ 3 มิติ ,Ambient Love โปรเจ็คของ Studio 4C, โปรเจ็คหนัง 3D ของ IG Port หรือจะเป็น วันพีซ กับ โทริโกะ เป็นต้น แม้แต่ภาพยนตร์ดังๆของญี่ปุ่นก็จะถูกทำในรูปแบบ 3 มิติด้วย เช่น Battle Royale , Umizaru เป็นต้น ส่วนประเทศอื่นๆก็มีโปรเจ็คหนังอนิเมชั่น 3 มิติเช่นกัน เริ่มจาก GON ของเกาหลีใต้ ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนทีเร็กซ์ใบ้ของญี่ปุ่น และ ที่งาน EXPO นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ก็ได้มีการจัดแสดง โดราเอมอน ในแบบ 3 มิติ ด้วยเช่นกัน


  Toy Story 3 : บทส่งท้ายสุดแสนดราม่าของเหล่าของเล่นมีชีวิต


  ในรอบปีที่ผ่านมา คอการ์ตูนอนิเมชั่น คงจะรู้สึกใจหายไปตามๆกัน กับการที่ Woody , Buzz Lightyear และ บรรดาผองเพื่อนของเล่นจาก The Toy Story ต้องปิดฉากลงไปในหนังภาคที่ 3 ของพวกเขาเอง พร้อมกับการส่งต่อความเป็นเจ้าของ จาก Andy ให้กับ เจ้าของรายใหม่และใครที่ได้ชมหนังภาคนี้ หลายคนคงจะรู้สึกถึงความดราม่า ซึ้ง น้ำตาไหลไปตามๆกัน ที่เราจะไม่ได้พบเจอกับพวกเขาอีก ไปพร้อมๆกับ เนื้อเรื่องที่ว่ากันว่าดีที่สุด สมกับเป็นการปิดฉาก และการเดินทางตลอดทั้ง 3 ภาค ในช่วงเวลา 15 ปี Woody และ เพื่อนๆ ได้ให้แง่คิด สอนอะไรแก่คนดูมากมาย ทั้งมิตรภาพระหว่างเพื่อนพ้อง, การรู้จักตนเอง, การเอาใจใส่ เห็นในความสำคัญในคุณค่าของสิ่งของที่รัก , การแก้ปัญหาขจัดความกลัวของตนเอง เป็นต้น อีกทั้งในภาคนี้ยังได้สะท้อนถึงสัจธรรม "กลับคืนสู่สามัญ" คือ ใน 2 ภาคแรก Andy ยังสนใจเล่นกับเหล่าของเล่นมีชีวิตอยู่ แต่พอเมื่อเวลาผ่านไป Andy เติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ความสนใจของเขาที่มีต่อของเล่นย่อมลดลงไป จึงทำให้ Andy จำต้องนำของเล่นแสนรักสมัยเด็กๆ ส่งต่อให้กับเจ้าของคนอื่นแทน แม้เหล่าของเล่นจะอาลัยอาวรณ์กับการที่ต้องจากกับหนุ่มน้อยผู้เป็นเจ้าของ ที่อยู่ด้วยกันผูกพันมานาน แต่เชื่อว่า อย่างน้อยพวกเขาคงจะรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ Andy ที่ยังเห็นความสำคัญของพวกเขา ด้วยการแนะนำของเล่นสุดรักสมัยเด็กๆของเขาให้กับเด็กน้อยที่จะรับช่วงต่อเป็นเจ้าของคนใหม่ของพวกเขาแทน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวก Woody คงจะได้รับความสุขจากเจ้าของคนใหม่ไม่แพ้หนุ่มน้อย Andy อย่างแน่นอน !!!!


  รวมการ์ตูนดังถึงคราปิดฉาก
  ในรอบปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าการ์ตูนดังจำนวนนึงได้พร้อมใจกันปิดฉากโดยไม่ได้นัดหมาย เรามาทบทวนกันอีกครั้งนึงว่า ในรอบปีที่ผ่านมา มีเรื่องใดได้โบกมืออำลากันบ้าง:

    Fullmetal Alchemist - การเดินทางของสองพี่น้องนักเล่นแร่แปรธาตุได้สิ้นสุดลง พร้อมปิดฉากแสนชื่นมื่น ทั้งมังงะและอนิเม
    The Enchained Spiritual Beast Ga-Rei - ล้างพันธุ์อสูรกาย ของสนพ.บงกช.....การต่อสู้ครั้งสุดท้าย เป็นเช่นใด
    Cross Game - ปิดฉากซีรี่ย์เบสบอลวัยรุ่นอีกเรื่อง ของ อ.มิซึรุ อาดาจิ ซึ่งบ้านเราก็ได้อ่านเล่มจบ รับสิ้นปีพอดี
    Detroit Metal City - การอำลาเวทีของท่านเคร้าเซอร์ ที่ไม่รู้ว่าจะไว้ลายแบบไหนกัน
    Nodame Cantabile - เป็นการอำลาครบทุกรูปแบบ ทั้ง มังงะ - อนิเม - หนังจอเงินคนแสดง ของ หนุ่มขี้บ่นกับสาวสุดเอ๋อ
    Major - ปิดตำนานการ์ตูนเบสบอลซีรี่ย์เรื่องยาวของโชเน็นซันเดย์ กับบทสรุปของการเดินตามหาฝันเบสบอลอาชีพของ ชิเงโนะ โกโร่ ทั้ง 70 กว่าเล่ม
    Natsu no Arashi - จบไปอีกเรื่อง กับการ์ตูนวัยรักวัยเรียนแสนวุ่นอีกเรื่อง ของ อ.จิน โคบายาชิ (School Rumble)
    Bamboo Blade - บทสรุปของเหล่าสาวน้อยเคนโด้
    K-On! - การ์ตูนชีวิตสาวน้อยเคล้าดนตรีขวัญใจโอตาคุแห่งยุค ทั้งมังงะ และ อนิเม จบไปพร้อมๆกัน และมีแนวโน้มว่า น้องๆแป๋วแหวว จะกลับมาอีกครั้งในอนาคต ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ในเมื่อกระแสของพวกเธอยังไม่มีทีท่าว่าจะตกแต่อย่างใด (ที่แน่ๆ ได้ดูจอเงินกันแน่นอน )
    Ouran High School Host Club - ปิดฉากอำลาชมรมโฮสต์คลับ พร้อมเสียงหัวเราะ ร้องไห้ แล้วความรักระหว่างเขาและเธอจะเป็นเช่นใด
    pPoi! - หรือ เอ้า! ชู้ต!!! แฟนการ์ตูนรุ่นเก่า ได้หมดทุกข์หมดโศกกันอีกเรื่อง หลังจากชุลมุนวุ่นรักแบบเรื่อยๆเอื่อยๆมาต่อเนื่องยาวนาน 19 ปี......แล้ว พ่อหนุ่มเฮ จะเลือก ฮินาคิ สาวน้อยคนรัก หรือเพื่อนรักคนสนิท อย่าง บันริ กันล่ะ !?
    Heart no Kuni no Alice - อลิซ ในแดนมหัศจรรย์ เวอร์ชั่นฮาเร็มหนุ่มๆ ที่จบการผจญภัยลงซะที
    Tenjho Tenge - การบู๊แหลกอันไร้สาระ ฉีกเสื้อผ้าเป็นว่าเล่น (ตามสไตล์อ.ผู้แต่งคนนี้) ได้จบลง แต่ยังไงซะ บ้านเราคงไม่ได้อ่านฉบับลิขสิทธิ์กันต่อ อีกนานนนนน!!!!!!!


  ปีแห่งการสูญเสียบุคคลในวงการการ์ตูน-อนิเมญี่ปุ่น
  ปิดท้ายการสรุปข่าวการ์ตูนรอบปี 2010 นี้ ด้วยการรำลึกถึงบุคคลในวงการการ์ตูน-อนิเมญี่ปุ่น ที่ได้จากพวกเราไป ในปีที่ผ่านมาครับ:

    - อิซามุ ทาโนนากะ นักพากย์จาก Ge Ge Ge no Kitaro จากบทของ คุณพ่อลูกนัยน์ตา (พ่อของคิทาโร่)
    - ทาคุมิ ชิบาโนะ นักแต่งและที่ปรึกษาอนิเม Sci-fi มือฉมัง
    - ไดสุเกะ โกริ เจ้าของเสียงพากย์ โรบิน มาสก์ (คินนิกุแมน),Dozle Zabi (กันดั้ม) และ มร.ซาตาน (ดราก้อนบอล)
    - อ.ทาดาชิ คาวาชิม่า ผู้แต่ง ALIVE คนผ่าเหล่า เผ่าหายนะ
    - นาโอโยชิ ทานิยาม่า อดีตประธานของชูเอย์ฉะ
    - เท็ตซึโอะ มิซึโทริ ผู้พากย์เสียงเป็น Brocken Jr. ในคินนิคุแมน
    - Bice นักร้อง นักแต่งเพลงจาก Mahoraba , Kirarin และ K-On!!
    - ซาโตชิ คอน ผกก. Paprika ,Millennium Actress , Tokyo Godfathers
    - โชจูโระ ยามาอุจิ คีย์อนิเมเตอร์มือฉมัง จาก Spirited Away, Grave of the Fireflies, Lupin III, One Pound Gospel
    - คิฮาจิโร่ คาวาโมโตะ อนิเมเตอร์ และ นักเชิดหุ่นชั้นเลิศ
    - อายาโอะ วาดะ นักพากย์ประสบการณ์สูงจากการพากย์บท Higeoyaji (ตาลุงหนวด) ในซีรี่ย์อนิเมดัดแปลงผลงานของ อ.เท็ตซึกะ โอซามุ
    - อ.ชินทาโร่ มิยาวากิ ผู้แต่ง The Rapeman
    - โคอิจิ โมโตฮาชิ ประธาน Nippon Animation
    - ทาเคชิ ชูโดะ ผู้สร้าง Minky Momo (หรือ จีจี้ สาวน้อยกายสิทธิ์ ที่คอการ์ตูนรุ่นเก๋าบ้านเรารู้จักกัน) และแต่งเรื่องให้กับอนิเมโปเกม่อน
    - นาจิ โนซาว่า นักพากย์อนิเมและหนังรุ่นเก๋า จากบทของ คอบร้า ใน Space Adventure Cobra
    - ชุนสุเกะ อิเคดะ นักแสดงจาก คิไคเดอร์
    - โยชิโนบุ นิชิซากิ โปรดิวเซอร์ Space Battleship Yamato
    - อุมาโนะซึเกะ อิดะ ผกก. Hellsing ฉบับอนิเม
    - มิโกะ ยาดะ ไอด้อลสาวผู้ขับร้องเพลงประกอบให้กับ D.C.P.K. ~Da CaPoker~, เกม Time Leap ,Blessing of the Campanella
    - ทาเคชิ วาตาเบะ นักพากย์อนิเมรุ่นเก๋า จากบท เจ้ากบยักษ์ กามาบุนตะ (นารุโตะ) และ เหล่าวายร้ายจากหนังเซ็นไท กับ Kamen Rider Black

  นอกจากนี้ ยังมีบุคคลในวงการการ์ตูนจากต่างประเทศที่ได้เสียชีวิตไปในปีที่ผ่านมาเช่นกัน :

    - Carl Macek (สหรัฐฯ) ผู้ให้กำเนิดซีรี่ย์ Robotech
    - อ.ปยุต เงากระจ่าง (ไทย) ผู้สร้างหนังอนิเมชั่น "สุดสาคร" หนังอนิเมชั่นเรื่องแรกจากฝีมือคนไทย

  ซึ่งผลงาน และ คุณงามความดีที่พวกเขาได้ฝากเอาไว้ให้วงการการ์ตูนอนิเมนั้น คอการ์ตูนไม่มีวันลืมพวกท่านอย่างแน่นอน.......



นี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูนตลอดปี 2010 ในปีกระต่ายน้อยนี้ วงการการ์ตูนจะก้าวไปในทิศทางไหนกัน ก็ต้องติดตามข่าวคราวกันต่อไปครับ ซึ่งเราก็ขอให้ทุกคนจงมีแต่ความสุข ความโชคดี จะทำอะไรขอให้ปลอดอุปสรรคทั้งปวง ตลอดปีพ.ศ. ๒๕๕๔ อีกทั้งขอให้บ้านเมืองเราสงบสุข สามัคคี เลิกแบ่งสีกันซะที!!!!!!!!!!!............


สำนักข่าว KD News
 
free hit counter javascript