บทความใหม่ ฉลองครบรอบ 10 ปีของเว็บไซต์ K-D ต่อเนื่องกับบทความนี้..... !!!!!
ซึ่งก็เป็นการทิ้งทวนซีร่ย์บทความฉลอง 10 ปี กันด้วยเรื่องราวของ Live Action หรือ หนังคนแสดง ดัดแปลงจากการ์ตูน โดยจะเน้นคัดเอาเรื่องที่สุดยอดจริงๆ ในรอบ 10 ปี ช่วงปี 2005 - 2015
ก็เช่นเคย เรื่องที่ติดในลิสต์นี้ เป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น
Marvel & DC Super Heroes
รอบ 10 ปี ที่ผ่านมานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนังสไตล์ Live Action ที่ยังส่งผลอิทธิพลต่อชาวโลกมากที่สุด และทำเงินได้อย่างต่อเนื่องที่สุด ก็หนีไม่พ้น หนังดัดแปลงจากคอมิคแนวซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายแหล่ แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า หนังฮีโร่เป็นหนังที่สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทุกกลุ่ม มากกว่า หนัง Live Action จากการ์ตูน-อนิเม เสียอีก โดยหนังแนวฮีโร่นั้น ได้รับความนิยมอย่างนมนาน ตั้งแต่ยุคหนังขาวดำ ยัน ยุคจอสีแรกเริ่ม ซึ่งในยุคนั้นก็มีพวกรุ่นพี่อย่าง Superman , Batman เข้ามาบุกเบิกโกยเรตติ้งความนิยม จนกระทั่ง เทคโนโลยี-เทคนิคการทำหนังได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ เลยทำให้ บรรดาฮีโร่ต่างๆ ได้มีโอกาสที่จะผดุงความยุติธรรมบนจอเงินในแบบคนแสดงกันมากขึ้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นยุค 2000 มีหนังฮีโร่มากมาย เช่น X-Men , Spider-Man,Daredevil,Hulk,Fantastic Four เป็นต้น และแน่นอนว่า หนังฮีโร่ที่เคยสร้างและออกฉายในช่วงอดีต อย่าง Superman , Batman ก็ได้รับการปัดฝุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน!!!!!
และแล้วตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ก็มีหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกสู่สายตาชาวโลกนับหลายร้อยเรื่อง นำไปสู่การแข่งขันในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ระหว่าง DC Comics กับ Marvel Comics สองสนพ.คอมิคที่เป็นคู่แข่งคู่ปรับกันมานาน ซึ่งรวมไปถึงการประชันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านบนตลาดหนังโลกของ Warner Bros. กับ Walt Disney ที่กลายเป็นบริษัทแม่ของสองสนพ.นี้ในภายหลัง (Warner ฮุบกิจการ DC เมื่อปี 1989 ส่วน Walt Disney ซื้อกิจการ Marvel เมื่อปี 2009)
ช่วงปี 2006-2015 นอกจากหนังฮีโร่ที่ขยันทำภาคต่อ-รีเมคบ่อยๆ อย่าง X-Men, Spider-Man (The Amazing Spider-Man) , Fantastic Four ,The Incredible Hulk, Superman (Man of Steel) , Batman (The Dark Knight) ก็มีหนังฮีโร่ที่แจ้งเกิดมากมาย อาทิ Ghost Rider , Iron Man , Thor , Captain America , Green Lantern , The Wolverine , Ant-Man เป็นต้น ซึ่งในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่ก็กวาดรายได้ถล่มทลายกันทั่วโลก และยังทำให้ ฮีโร่บางคนที่บ้านเราไม่คุ้นหู(ในอดีต) อย่าง Ghost Rider , Iron Man , Thor , Deadpool กลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างอีกด้วย(แน่นอนว่า Iron Man ยังได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าประจำตัวของนักแสดง Robert Downey Jr. ผู้รับบทเป็น Tony Stark ในหนังด้วยเช่นกัน)
ในเมื่อมีหนังฮีโร่ได้แจ้งเกิดอย่างเดี่ยวๆเต็มตัว ไม่แปลกใจเลยที่จะต้องมีหนังขบวนการซูเปอร์ฮีโร่จากสองค่ายหลัก ออกมากอบโกยตังค์ตามมา (เช่นเดียวกับ X-Men) อาทิ Watchmen (DC) แล้วก็ The Avengers (Marvel) หากพูดในภาพรวมแล้ว ต้องบอกว่า กลุ่มฮีโร่จากฝั่ง Marvel ค่อนข้างจะเป็นต่อเอามากๆ เพราะ ลำพัง หนังฮีโร่เดี่ยวๆของ Marvel ก็ทำรายได้ดีกว่า DC เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว The Avengers มาแต่ละภาคที ก็สามารถทำเงินได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐจากการออกฉายทั่วโลกเลยทีเดียว!!!!! (Avengers ภาคแรก ก็ขึ้นทำเนียบเป็นหนังฮีโร่ที่ทำเงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แผ่นฟิล์มโลก).......แต่ใช่ว่า หนังฮีโร่จะประสบความสำเร็จจากการออกฉายไปซะหมด เพราะก็มีอยู่บางเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างน่าผิดหวัง อย่างเช่น Fantastic Four ฉบับรีเมคปี 2015 (ที่รายได้พอๆกะ Watchmen คือราว 1 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ)
ถึงกระนั้น เหล่าฮีโร่ก็จะทยอยปรากฏตัวบนจอเงินแบบคนแสดงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต และเราจะได้รับชมพวกเขากันอย่างตาแฉะอีกอย่างแน่นอน อาทิ Wonder Woman (2017),Justice League (2017), Avengers: Infinity War (2018) , The Flash (2018) , Aquaman (2018),Captain Marvel(2019) , Shazam (2019) เป็นต้น ในจำนวนนี้เป็นโปรเจ็คหนังของ DC ซะเยอะ ซึ่งน่าจับตามองเลยทีเดียวว่า โปรเจ็คหนังจำนวนนี้ เพียงพอที่จะทำให้ DC สามารถต่อกรกับหนังของ Marvel ได้อย่างสูสีดูดี๋ บนสงครามหนังฮีโร่บนตลาดโลกที่ยังคงร้อนระอุกันอีกยาว......
Transformers
จากเทคนิคการถ่ายทำหนัง รวมถึง CG ที่พัฒนากันอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แปลกใจที่ทางฮอลลิวู้ดจะใช้ 2 อย่างนี้ในการคิดทำอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการภาพยนตร์โลก เพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป และแล้วในที่สุด บรรดาของเล่นไลน์หุ่นรบแปลงเป็นยานพาหนะ-อาวุธได้ ของ Hasbro อย่าง Transformers ก็ได้รับการเนรมิตรกลายเป็นหนังฟอร์มใหญ่ยักษ์รูปแบบ Live-Action!!!!? มาถึงตรงนี้ ในช่วงเวลานั้น หลายคนคงต่างกันตะลึง ตาลุกวาว พร้อมคิ้วขมวดสงสัยไปพลางๆว่า หนังจากของเล่น - อนิเมชั่นดังประจำยุค 80 จะมีรูปร่างหน้าตาออกมาแบบไหนกัน!!? ในที่สุด ผกก. Michael Bay ก็ไม่ทำให้คอหนังได้สงสัยกันต่อไป เพราะหุ่นรบอย่าง Optimus Prime , Bumblebee , Megatron , Starscream รวมถึงเหล่าหุ่นรบจากฝั่ง Autobot กับ Decepticon ต่างมีชีวิตขึ้นมาจริงๆในหนังชุดนี้!!!!!!! (แม้ว่ารูปร่างค่าตาจะแตกต่างไปจากฉบับอนิเมชั่นบ้างก็เถอะ) และแน่นอนว่า พวกมันก์แปลงร่างเป็นรถ เป็นเครื่องบิน หรือ ไดโนเสาร์ ได้ ตามต้นฉบับเช่นกัน!!!!!!
มหากาพย์การสู้รบของหุ่น Autobot กับ Decepticon บนหนัง Transformers รูปแบบคนแสดง ก็ปรากฎตัวครั้งแรก เมื่อปี 2007 โดยใช้ทุนสร้างมากมายถึง 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวหนังภาคแรกนั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยการกวาดรายได้จากทั่วโลกถึง 708,272,592 เหรียญสหรัฐ แถมตัวหนังนั้น ยังเป็นการแจ้งเกิดของนักแสดงนำอย่าง Shia LaBeouf กับ Megan Fox (ที่ขึ้นชื่อกลายเป็นสาวเซ็กซี่สุดฮ็อตคนนึงในเวลานั้น) ยันรวมถึง ผกก. Bay เอง ก็กลายเป็นผกก.ผู้ขึ้นชื่อเรื่องระเบิดตูมตามสนั่นจอในทุกเรื่องที่กำกับ จนถูกคอหนังหลายคนต่างพากันหยอกล้อไปตามๆกัน (คล้ายๆกะ อาหลอง ที่ต้องระเบิดป่า เผากระท่อม ปิ้งไก่ ดั่งเช่นทุกเรื่องที่กำกับ)
จากความสำเร็จของหนังภาคแรก ทำให้การต่อสู้ของ Autobot กับ Decepticon ยังดำเนินต่อ กับหนังภาคต่อมา อย่าง Transformers:Revenge of the Fallen (2009) ,Transformers:Dark of the Moon (2011), และ Transformers:Age of Extinction (2014) ซึ่งแต่ละภาคนั้น ยังคงได้รับการตอบรับจากคอหนังดีเช่นเคย โดยเฉพาะกับภาค Dark of the Moon คือ ภาคที่ทำเงินสูงที่สุดของ Transformers ในขณะนี้ (แม้ว่า ภาคดังกล่าว Bay กับ Fox จะมีปัญหากัน จนทำให้ Fox ตัดสินใจถอนตัวจากหนังชุดนี้ ถึงกระนั้น ภายหลังทั้งคู่ก็เคลียร์กันได้ด้วยดี ทำให้ Fox ได้ร่วมงานกับ Bay อีกครั้ง ในหนัง Teenage Mutant Ninja Turtle หรือ เต่านินจา) อีกทั้งการมาของฉบับหนังของเรื่องนี้ ก็ทำให้สินค้าของเล่นขายดี รวมถึง ตัวหุ่นในเรื่องยังได้รับความนิยมในหมู่ Cosplayer บางส่วน ถึงขั้นลงทุนทำชุดสุดอลังการงานสร้างขึ้นมา....และแน่นอนว่า เรื่องนี้กลายสภาพจากการ์ตูนที่เกือบถูกลืม กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันมากขึ้น และมีผลทำให้ Transformers มีการผลิตการ์ตูนอนิเมชั่นเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
แม้ว่า เรื่องราวการต่อสู้ผจญภัยของ Sam Witwicky และ Autobot จะจบลง ณ ภาค 3 สู่การผจญภัยใหม่จากทีมงานของ Cade Yeager (แสดงโดย Mark Wahlberg) ในหนังภาค 4 แน่นอนว่า เรื่องราวหนังคนแสดง Transformers ไม่จบลงแค่นั้น เพราะตัวหนังจะมีการสร้างอีกจำนวนหนึ่ง อาทิ Transformers: The Last Knight (2017) แล้วก็ หนัง Transformers ภาคที่ 6 ที่จะฉายในปี 2019 รวมไปถึง หนังสปินออฟของ Bumblebee เจ้าหุ่นรถสีเหลือง หนึ่งในตัวละครฮ็อตประจำเรื่อง
จากความสำเร็จของ Transformers ที่สามารถเนรมิตรบรรดาหุ่นยนต์ให้มีชีวิตในหนัง ก็กลายเป็นสิ่งท้าทายของบรรดาคนทำหนังหลายต่อหลายคน ผู้อยากทำหนังหุ่นยนต์สไตล์ Live Action ให้ประสบความสำเร็จตามรอย Transformers ซึ่งในขณะนี้ ก็มี The Pacific Rim ที่ประสบความสำเร็จในการส่ง Jaeger ไล่ล่าฆ่า Kaiju บนแผ่นฟิล์มอย่างงาม นอกนั้นก็ต้องจับตามองโปรเจ็คหนังหุ่นยนต์ที่ข่าวออกมาเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะผุดออกมามากขึ้นในอนาคต ที่มีทั้ง Voltron , Robotech ดีไม่ดี เราอาจได้เห็น Gundam แบบ Live Action ก็เป็นไปได้เนอะ!!!!!
Death Note
เมื่อปลายปี 2003 ซีรี่ย์การ์ตูน Death Note ได้ถือกำเนิดขึ้น บนนิตยสาร Shonen Jump โดยมังงะเรื่องนี้ก็ได้สร้างความแปลกใหม่แก่คนอ่านในยุคนั้น กับมังงะซีรี่ย์เรื่องหนึ่ง ที่ไม่มีฉากบู๊แฟนตาซีเน้นมิตรภาพเหมือนซีรี่ย์ Jump เรื่องอื่นๆ แต่กลับเน้นการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกัน ของชายหนุ่ม 2 คน นาม Light กับ L โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ สมุดมรณะ Death Note ได้ปรากฏบนโลกมนุษย์ ซึ่งสมุดดังกล่าวมีความพิเศษคือ เวลาเขียนชื่อคนลงในนั้น คนผู้นั้นก็มีอันเป็นไป และความพิเศษของสมุดเล่มนี้เอง ก็ทำให้ฝ่ายหนึ่ง คิดจะใช้มันในการพิพากษาคนชั่ว ขณะที่อีกฝ่าย ต้องการจะกำจัดสมุดเล่มนี้ ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งความชั่วร้าย และแล้วการต่อสู้ระหว่างจริยธรรมความถูกต้องที่ไม่เหมือนกันของคน 2 คนจึงได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่จุดจบที่ต่างกันไป
ซึ่งผลงานการ์ตูนสายมารของ Tsugumi Ohba กับ Takeshi Obata เรื่องนี้ ได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลานั้น นำไปสู่การนำไปดัดแปลงในโปรเจ็คที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือ ฉบับภาพยนตร์คนแสดง ที่ออกฉายครั้งแรก เมื่อ มิ.ย. 2006 นำแสดงโดย Tatsuya Fujiwara (Light) , Kenichi Matsuyama (L) , Erika Toda (Misa) ซึ่งฉบับหนังคนแสดงชุดแรกสุด ก็มีกระแสการตอบรับที่ดีเยี่ยม ทั้งแฟนการ์ตูนเอง รวมถึง คอหนังที่ไม่ใช่คอการ์ตูน สามารถทำเงินได้ราว 2 พันล้านเยนในญี่ปุ่น และแน่นอนว่า ฉบับหนังเรื่องนี้ ยังทำให้นักแสดงนำทั้ง 3 คน ต่างแจ้งเกิดในวงการบันเทิงญี่ปุ่นทั้งหมด รวมถึง ยังทำเอาคอหนัง(ที่ไม่ใช่แฟนการ์ตูน)จำนวนหนึ่ง ต่างพากันหาฉบับการ์ตูนรวมเล่มมาอ่านกันมากขึ้นด้วยเช่นกัน
จากความสำเร็จของหนังภาคแรก หนังชุดนี้ก็มีการทำภาคต่ออีก 2 ภาค ได้แก่ Death Note 2: The Last Name กับ L: Change the World ออกฉายเมื่อ ต.ค. 2006 กับ ก.พ. 2008 ตามลำดับ โดยเฉพาะกับหนังภาค The Last Name นั้น กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในบรรดาหนัง Death Note ทุกภาค ที่ 5.20 พันล้านเยน โดยกระแสของหนังกับการ์ตูนที่เปรี้ยงปร้างในขณะนั้น ก็ทำให้เรื่องนี้มีการนำไปดัดแปลงในรูปแบบอนิเมซีรี่ย์ ออกฉายช่วงปี 2006-2007
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของฉบับคนแสดงของ Death Note ก็ไม่ได้จบลงแค่ตรงนั้น เพราะตัวหนังก็ได้รับความสนใจจากฝั่ง Hollywood จนในที่สุด เรื่องนี้ก็ได้มีการคว้าสิทธิ์ Remake ในรูปแบบ Hollywood โดย Warner Bros. (ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังฉบับญี่ปุ่น) เมื่อปี 2009 แต่โปรเจ็คหนังรีเมค ก็คืบหน้าช้าเหลือเกิน แถมยังขัดใจคอการ์ตูนด้วยการประกาศกร้าวว่า จะตัดตัวละครยมทูตออกไปในเวอร์ชั่นนี้ด้วย!!! ถึงกระนั้น ตัวหนังฉบับฮอลลิวู้ดก็เพิ่งได้ตัวนักแสดงนำอย่าง Nat Wolff ,Margaret Qualley แล้วก็ Keith Stanfield กำกับการแสดงโดย Adam Wingard และมีกำหนดออกฉายในปี 2017 ซึ่งตัวละครในฉบับฮอลลิวู้ดนั้น จะดัดแปลงกลายเป็นชื่ออังกฤษหมด (Light Turner - แสดงโดย Wolff , Mia Sutton แสดงโดย Qualley)
ขณะที่ ฝั่งญี่ปุ่น ไม่น้อยหน้า ด้วยการตัดสินใจหยิบเอา Death Note มาทำใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบละครซีรี่ย์ เมื่อปี 2015 โดยนักแสดงนำนั้น เปลี่ยนจากฉบับหนังยกชุด อาทิ Masataka Kubota ( Light ) , Kento Yamazaki (L) , Hinako Sano (Misa) รวมถึง ตัวละคร Near ที่ถูกยกระดับกลายเป็นตัวละครหลัก .....แต่เป็นผู้หญิง (แสดงโดย Mio Yūki) โดยฟีดแบ็คของฉบับละครซีรี่ย์นั้น ก็ออกไปทางลบ ในแง่ของนักแสดงกับเนื้อหาที่เปลี่ยนจากต้นฉบับการ์ตูนพอสมควร
อย่างไรก็ตาม หลังจบจากฉบับละคร ก็มีการแจ้งว่า จะมีการทำหนังคนแสดงชุดใหม่ ที่มีชื่อว่า Death Note : Light Up the New World ออกฉายช่วงปลายปี 2016 โดยเป็นหนังที่จัดทำขึ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี ของการออกฉายหนังคนแสดง Death Note ภาคแรก .....เนื้อหาของตัวหนังจะเป็นออริจินอล และเป็นเรื่องราวต่อจากหนังภาคก่อนๆหน้า ราว 10 ปี ซึ่งตัวหนังภาคนี้ มาภายใต้คอนเซ็ปต์ 'สมุด Death Note ปรากฏขึ้นบนโลกถึง 6 เล่ม ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน' ซึ่งก็สร้างความสนใจว่า จะทำเรื่องราวออกมาพลิกแพลงยังไง? นอกเสียจากการไล่ล่าไล่จับกัน(อีกครั้ง)ของคนผู้มีอุดมการณ์คล้ายกับ Light และ L โดยตัวละครในหนังเป็นตัวละครใหม่แทบทั้งหมด ประกอบด้วย Tsukuru Mishima ,Ryūzaki ,Yūgi Shion,Sakura Aoi ที่แสดงโดย Masahiro Higashide ,Sosuke Ikematsu ,Masaki Suda และ Rina Kawaei ตามลำดับ มีเพียง Toda เท่านั้น ที่ยังคงรับบทเป็น Misa ในหนังชุดนี้
Rurouni Kenshin
หากพูดถึงหนังคนแสดงดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกินครึ่งฟังแล้วคงรู้สึกยี้ไปตามๆกัน แต่สำหรับเรื่องนี้คือข้อยกเว้น!!!! กลับกัน หลายคนก็อยากจะเห็น ฮิมุระ เคนชิน ใช้เพลงดาบล่องนภาฯ บนจอเงินแบบคนแสดงจริงไปตามๆกัน!!!!!! หลังจากมังงะซามูไรอิงประวัติศาสตร์เรื่องดังประจำยุค 90 ของ อ.Nobuhiro Watsuki จบลงไปราว 10 กว่าปี ตั้งแต่ปี 1999 ในที่สุด เคนชิน และ สหาย แห่ง 'ซามูไรพเนจร' ก็ได้รับการชุบชีวิตขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังคนแสดงไตรภาค ขนาดฟอร์มยักษ์!!!!! โดยได้ Keishi Ōtomo มารับหน้าที่กำกับการแสดง และได้ Takeru Satoh กับ Emi Takei มาแสดงนำในบทบาทของ Kenshin กับ Kaoru โดยตัวหนังออกฉายภาคแรก เมื่อปี 2012 ก่อนที่หนังอีก 2 ภาคที่เหลือ(Rurouni Kenshin: Kyoto Inferno , Rurouni Kenshin: The Legend Ends) จะออกฉายไล่เลี่ยกัน เมื่อปี 2014
ฉบับคนแสดงของ Kenshin หากจะว่ากันตรงๆ จัดเป็นหนังคนแสดงจากการ์ตูนญี่ปุ่นจำนวนน้อยเรื่อง ที่ทำออกมาใกล้เคียงกับต้นฉบับการ์ตูนมากที่สุด..... โดยครอบคลุมเนื้อหาฉบับการ์ตูน ตั้งแต่ช่วงแรกของเรื่อง ที่ Kenshin ผู้ซึ่งเคยได้รับฉายาว่า Hitokiri Battōsai (มือพิฆาตบัตโตไซ) ถอนตัวจากการเป็นมือสังหาร ออกเดินทางเร่ร่อนพเนจรไป เพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ตัวเขา ยังคงถูกศัตรูตามรังควาญไม่เลิก จนกระทั่งเกิดศึกตัดสินกัน ณ เกียวโต ซึ่งเป็นช่วงที่พีคที่สุดในฉบับการ์ตูน และด้วยความพีคที่เกิดขึ้นตามต้นฉบับ ก็เลยทำให้ศึกการต่อสู้ระหว่าง Kenshin กับ เจ้ามัมมี่ผ้าพันแผล Shishio (แสดงโดย Tatsuya Fujiwara) ณ เกียวโต ซึ่งมีการนำไปบอกเล่าอย่างละเอียด ในหนังคนแสดง 2 ภาคหลัง
และด้วยตัวหนังที่ทำออกมาอย่างปราณีต สมจริง นักแสดงในเรื่องก็แสดงกันได้สมบทบาท ก็เลยทำให้ ตัวหนังทั้ง 3 ภาค ประสบความสำเร็จถล่มทลาย ทั้งในญี่ปุ่น แล้วก็ทั่วโลก ส่วนในบ้านเรานั้น หนังคนแสดงภาคแรกเรื่องนี้ ใช้ชื่อว่า "เคนชิน ซามูไร X" ก่อนที่หนัง 2 ภาคหลังจะเปลี่ยนไปใช้ชื่อแบบทับศัพท์ "รูโรนิ เคนชิน" เท่านั้น
Nodame Cantabile
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า Nodame Cantabile (วุ่นรักนักดนตรี) จัดเป็นการ์ตูนแนวโชโจอีกเรื่องหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด!!!!! จากการที่พล็อตการ์ตูนต้นฉบับที่ทำออกมาได้อย่างครบรส ผสมผสานกับส่วนผสมความเป็นคอเมดี้ , ดราม่า , โรแมนติค และ ดนตรีคลาสสิค ได้อย่างลงตัว!!! กับเรื่องราวของคู่พระนาง Chiaki - Nodame (Noda Megumi) ที่ค่อนข้างต่างกันสุดขั้ว โดยฝ่ายชายเป็นนักศึกษาหนุ่มผู้จู้จี้ มีความฝันที่จะเป็นวาทยกร ขณะที่ฝ่ายหญิง เป็นนักศึกษารุ่นน้อง ผู้มีนิสัยเอ๋อๆ ทำห้องพักตัวเองซะรกเกินจะทน อย่างไรก็ตาม การพบกันของทั้งคู่ ก็ทำให้เติมเต็มในสิ่งที่ต่างฝ่ายกำลังขาดอยู่ จนสร้างความประทับใจให้แก่ผู้อ่าน
การมาของมังงะเรื่องนี้ ก็เป็นการสร้างชื่อให้แก่ อ.Tomoko Ninomiya เป็นอย่างมาก ( หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีผลงานการ์ตูนจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จซักเรื่อง) และที่สำคัญ นอกจากความดังของเรื่องนี้ รวมถึงการคว้ารางวัลชนะเลิศ สาขาการ์ตูนโชโจ ของ Kodansha Manga Award ปี 2004 ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้เรื่องนี้ ได้รับการดัดแปลงในเวอร์ชั่นอื่นๆตามมา ทั้งอนิเม แล้วก็ คนแสดง!!!!! ซึ่งฉบับคนแสดงของเรื่องนี้ มีการสร้างครอบลุมกัน ทั้งฉบับละครซีรี่ย์ แล้วก็ ฉบับหนังโรง โดยได้ Hiroshi Tamaki กับ Juri Ueno มาแสดงนำในบทบาทของ Chiaki กับ Nodame ตามลำดับ แถมยังได้ Nodame Orchestra กลุ่มคณะดนตรีที่เป็นการรวบรวมสมาชิกจากวง Tokyo Metropolitan Symphony Orchestra มาช่วยเล่นดนตรีคลาสสิคบรรเลงในละครทุกตอน
ฉบับละครออกฉายครั้งแรก เมื่อปลายปี 2006 โดยดัดแปลงจากเนื้อหามังงะ เล่ม 1-9 ก่อนจะมีการต่อยอดทำตอนพิเศษ 2 ตอนจบ ชุด Nodame Cantabile New Year's Special in Europe ที่ว่าด้วยเรื่องราวของคู่พระนางย้ายไปปารีส ออกฉายรับปีใหม่ 2008 ตามมา อย่างไรก็ตาม ฉบับคนแสดงของ Nodame ยังมีต่ออีก ในรูปแบบหนังโรง 2 ชุด ออกฉาย ธ.ค. 2009 กับ เม.ย. 2010 ตามลำดับ
Nodame ฉบับละครซีร่ย์นั้น ก็ประสบความสำเร็จในด้านเรตติ้งอย่างมากมาย (โดยเฉพาะ ละครตอนพิเศษช่วงปีใหม่ สามารถทำเรตติ้งได้สูงราว 20% ด้วยกัน) แถมยังทำให้ ตัวละคร สามารถคว้ารางวัล Japanese Drama Academy Awards เมื่อปี 2007 ได้ถึง 5 สาขารางวัล ทั้ง ละคร , นักแสดงนำหญิง (Ueno) , กำกับการแสดง (Hideki Takeuchi),ดนตรี (Takayuki Hattori), และ เพลงประกอบละคร ยอดเยี่ยม อีกทั้ง ละครซีรี่ย์ชุดนี้ ยังสามารถคว้ารางวัลยอดเยี่ยมหลายสาขารางวัลจากต่างประเทศอีกด้วย ทำให้ภายหลัง ละครซีรี่ย์เรื่องนี้ มีการออกฉายไปยังประเทศอื่นๆในเอเชีย รวมถึง ไทย (ทางช่อง 7 ในชื่อ จังหวะรัก หัวใจดนตรี) อีกทั้ง ยังมีการนำไปรีเมคใหม่ ในรูปแบบละครซีรี่ย์เกาหลี ภายใต้ชื่อ Cantabile Tomorrow เมื่อปี 2014 อีกด้วย