สรุปข่าววงการการ์ตูนประจำปี 2556 (1): เรื่องราวอนิเมน่าบอกเล่าประจำปี 2556 |
ปีงูอสรพิษ 2013 กำลังจะผ่านพ้นไป ท่ามกลางเหตุการณ์บ้านเมืองที่ยังคงอึมครึม หนุกหนานกับกีฬาสีแถวสภากันทั้งปี นับตั้งแต่เลือกตั้งผู้ว่ากทม. ยันปัญหาเรื้อรังต่างๆที่หมักหมม ทั้งค่าแรงสูงขึ้น ราคาข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง เม็ดข้าวถูกจำนำ รวมถึงการกระทำอันเรือไม่จอดไม่แจวหลายประการของผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้เกิดการลุกฮือเป่านกหวีดของปชช.ส่วนหนึ่งที่หวังจะล้างการเมืองสกปรก ส่วนอีกฝ่ายอยากให้เลือกตั้งตามเดิม และแล้วเกมการเมืองของทั้งสองฝ่ายก็ได้ยืดเยื้อกันไป ชนิดที่ไม่รู้ว่ามันจะไปสุดซอยจะถอยยังไงกัน!! และหากเป็นแบบนี้เรื่อยไป เปิด AEC เต็มตัวปี 2015 เมื่อไหร่ เราคงงานเข้าแน่ๆ แม้ว่าปัญหาในบ้านเมือง , เรื่องดินแดนกับเพื่อนบ้าน รวมถึงเรื่องราววุ่นๆในสมาคมฟุตบอลโดยรักษาการตัวดี ออกจะยุ่งเหยิงหน่อย แต่ช่างเถิด!! ในส่วนของข่าวคราวในวงการการ์ตูนก็เช่นเดียวกัน ในรอบปี 2013 นั้นต่างก็มีเรื่องดีและเรื่องร้ายปะปนกันไป และเนื่องจากปี 2013 นี้ เป็นปีสำคัญของวงการอนิเมญี่ปุ่น เพราะเป็นการครบรอบ 50 ปี ของการออกฉายอนิเมซีรี่ย์เรื่องยาว 30 นาทีของญี่ปุ่น (ดังจะกล่าวในบทต่อไป) ก็เลยถือโอกาสรวบรวมข่าวเด็ดและกระแสที่เกิดขึ้นจากอนิเมเรื่องดังที่ออกฉายในรอบปีที่ผ่านมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปทบทวนกันเลย!!! สำนักข่าว K-D News (kartoon-discovery.com) ข่าวอนิเมน่าบอกเล่าประจำปี 2556ครบ 50 ปี อนิเมซีรี่ย์ครึ่งชม.ออกฉายญี่ปุ่น - ฉลองวันเกิด 80 ปี ผู้สร้างโดราเอมอน
เท่านั้นไม่พอ นอกจากปีที่ผ่านมาจะตรงกับการครบรอบ 50 ปี ของการออกฉายอนิเมทางโทรทัศน์ความยาวครึ่งชั่วโมงครั้งแรกในญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังตรงกับการฉลองวันเกิดครบรอบ 80 ปี ของ อ.ฮิโรชิ ฟูจิโมโตะ หรือ Fujiko F Fujio ผู้ให้กำเนิดโดราเอมอนผู้ล่วงลับอีกด้วย และเนื่องในโอกาสอันดี ที่ญี่ปุ่นก็ได้มีการเฉลิมฉลองวันเกิดของเขา ด้วยการจัดนิทรรศการในโตเกียว กับเมืองใหญ่ๆในญี่ปุ่น รวมถึง พิพิธภัณฑ์ Fujiko F Fujio ที่เมืองคาวาซากิ บ้านเกิดของเขาด้วย อีกทั้ง ในส่วนของโดราเอมอน ผลงานที่โด่งดังของเขา ก็มีการออกฉายหนัง Doraemon: Nobita no Himitsu Dōgu Museum ช่วงต้นปีแล้ว ก็กำลังจะมีหนังอนิเมชุดใหม่ที่เป็นการรีเมคจากภาคเก่าอย่าง Eiga Doraemon Shin Nobita no Daimakyo ~Peko to 5-nin no Tankentai~ รวมถึงกำลังจะมีหนังอนิเมชั่น CG 3 มิติ ชุดแรกอย่าง Stand by Me Doraemon ซึ่งหนังทั้งสองชุดนี้จะออกฉายในปี 2014 และที่สำคัญ โดราเอมอน ในฉบับการ์ตูน จะมีการจัดพิมพ์ในรูปแบบภาษาอังกฤษ ภาพสี่สี เผยแพร่ในรูปแบบดิจิตอล ให้ชาวอเมริกาเหนือได้สัมผัสอีกด้วย
การมาของฉบับอนิเมซีรี่ย์ของผ่าพิภพไททัน (ตามชื่อไทยของ VBK) นั้น ทำให้ฉบับหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มีพัฒนาการในด้านยอดตีพิมพ์และยอดขายที่พุ่งทะลุยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน เรื่องนี้มียอดตีพิมพ์รวมกันถึง 28 ล้านเล่ม จากฉบับรวมเล่มทั้ง 12 เล่มที่ออกวางขายในญี่ปุ่น โดยเฉพาะกับเล่ม 12 ซึ่งเป็นเล่มล่าสุดนั้น กลายเป็นเล่มแรกของซีรี่ย์ที่มียอดตีพิมพ์ครั้งแรกเกิน 2 ล้านเล่ม ในส่วนยอดขายของเรื่องนี้นั้น ฉบับรวมเล่มของเรื่องนี้ สามารถติดชาร์ตการ์ตูนขายดีของ Oricon ทุกเล่มเลย และจากความฟีเวอร์ของเรื่องนี้ ยังทำให้นิตยสาร Bessatsu Shōnen Magazine นิตยสารต้นสังกัดของไททัน มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม รวมถึงนิตยสาร ARIA ที่ลงตีพิมพ์ Shingeki no Kyojin Gaiden: Kuinaki Sentaku ซีรี่ย์ภาคแยกของเรื่องนี้ จำต้องเพิ่มกำลังการตีพิมพ์มากกว่า 1 รอบ และเพิ่มยอดตีพิมพ์ของนิตยสารหัวนี้ถึง 10 เท่าตัว!!!!!! เพราะซีรี่ย์ภาคแยกชุดนี้ทำเอา ARIA ขายดิบขายดีมากซะจนหมดแผง เล่นเอาคนอ่านเรื่องอื่นๆใน ARIA รวมถึงแฟนๆของไททันส่วนหนึ่ง ซื้อหากันไม่ทันเลย .....เท่านั้นไม่พอ ซีรี่ย์ไททันยังแผ่ความดังจากญี่ปุ่น ลามมาถึงแผ่นดินขวานทองแดนสยามบ้านเราด้วย มีผลทำให้เรื่องนี้ได้รับการผลักดันโปรโมทอย่างสูงจากสนพ.ต้นสังกัดในบ้านเราสูงขึ้นกว่าทุกปี (จากเดิมที่เอาแต่โปรโมท "นักสืบจิ๋วไม่ยอมโต" 555+) ทำให้นักอ่านบ้านเราต่างได้สัมผัสกับไททันในเวอร์ชั่นอื่น อาทิ นิยาย Before the Fall แล้วก็ ซีรี่ย์การ์ตูนแนวฮาๆอย่าง ผ่ามัธยมไททัน อีกทั้ง บ้านเราจะได้สัมผัสกับอนิเมฉบับลิขสิทธิ์ในอนาคตโดย Rose Media นอกจากปรากฏการณ์ไททันฟีเวอร์ จะช่วยกระตุ้นยอดขายและยอดตีพิมพ์แล้ว ยังมีผลทำให้เพลงเปิดเพลงแรกของอนิเมไททันอย่าง Guren no Yumiya ที่ขับร้องโดย Linked Horizon กลายเป็นเพลงอนิเมที่ฮ็อตฮิตที่สุดประจำปีนี้ไปด้วย โดยสามารถครองอันดับ 1 เพลงอนิเมยอดฮิตขายดีที่สุดของปี 2013 ของ Billboard Japan รวมถึง ติดอันดับเพลงอนิเมคาราโอเกะยอดนิยมประจำปี 2013 ในอันดับ 2 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ซีรี่ย์ไททันจะอยู่ในช่วงขาขึ้นฮิตติดลมบนทั้งการ์ตูนและอนิเมอย่างต่อเนื่อง แต่กับ อ.อิซายามะ ผู้แต่งนั้น กลับต้องประสบกับเรื่องน่ากลัว นั่นคือ การต้องเผชิญกับการถูกคุกคามจากแฟนอนิเมจิตป่วนจากต่างชาติที่เข้าไปพิมพ์ข้อความข่มขู่ ท้าทาย ดูหมิ่น สาปแช่ง และหมายจะเอาชีวิตเขา บนบลอกส่วนตัวของเขา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแฟนๆส่วนหนึ่งได้สันนิษฐานว่า นักเลงคีย์บอร์ดรายนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นชาวเกาหลีที่กำลังโกรธแค้นหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่ได้เห็นตัวละครที่มีชื่อว่า Dot Pixis ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับ นายพล อากิยามะ โยชิฟุรุ ผู้ซึ่งเคยนำกองทัพญี่ปุ่นเข้ารุกรานเกาหลีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง ซึ่งคดีดังกล่าวก็ได้เงียบหายไปกับสายลม แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับอ.อิซายามะ ที่เริ่มเป็นที่รู้จักของใครหลายคน โดยเฉพาะกับต้นกำเนิด คอนเซ็ปต์ของการ์ตูนเรื่องนี้ ที่ล้วนอิงมาจากเรื่องราวที่เกิดในชีวิตจริงของ อ.อิซายามะ ทั้งสิ้น และด้วยความนิยมจากฉบับอนิเม ก็เล่นเอา อ.ถึงกับลังเลในการเปลี่ยนแปลงตอนจบของเรื่องนี้อีกด้วย จากกระแสความนิยมของไททันที่เกิดในรอบปีนี้เอง ก็สอดคล้องกับรายงานข่าวจาก เว็บไซต์ของ Bessatsu Shōnen Magazine ที่บอกกล่าวสรรพคุณว่า ถือเป็นปรากฏการณ์หนึ่งแห่งศตวรรษนี้เลยทีเดียว!!!!!!!!!! Free! หนุ่มจ้าวสระอิสระเสรี นำพากรี๊ดกร๊าด วี๊ดวิ่วแห่งปีของเหล่าแม่ยก
หนึ่งในอนิเมที่เรียกเสียงฮือฮาจากคนดูไม่แพ้กันในรอบปี 2013 ก็คงเป็นการปรากฏตัวของเหล่ากระทาชายจ้าวสระจาก Free! ที่เล่นเอาบรรดาคนดูสาวๆกรี๊ดกันเกรียวกราวยิ่งนัก แตที่อึ้งยิ่งกว่า ก็คือ อนิเมชุดนี้ผลิตโดย Kyoto Animation สตูดิโอที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จจากผลงานอนิเม Suzumiya Haruhi , Lucky Star ,K-On!,Chuunibyo, Tamako Market ฯลฯ ซึ่งการมาของของเรื่องนี้เอง เล่นเอาหลายคนคาดไม่ถึงว่า สตูดิโอที่ถนัดและเชี่ยวไปกับการทำอนิเมขายคาแร็คเตอร์สาวๆ จะทำอนิเมขายคาแร็คเตอร์ตัวละครชายได้ดีเยี่ยมเกินคาดขนาดนี้ ชนิดทำเอาแม่ยกติดกันงอม จิ้นและฟินกันกระจาย และมีผลทำให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต่างขายดิบขายดีไม่แพ้สินค้าคาแร็คเตอร์ชายหล่อจากคุโรโกะเลย เช่นเดียวกับปริมาณโดจินชิก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ที่สำคัญเรื่องนี้ก็มีกระแสแรงแบบคงเส้นคงวา ทั้งก่อนที่อนิเมจะออกฉาย ยันตอนแรก-ตอนสุดท้ายของเรื่องนี้ และหลังจากตอนจบของอนิเมที่ยังคงออกแนวกั๊กๆเกี่ยวกับอนิเมซีซั่น 2 นั้น ก็มีแฟนๆทั้งจากญี่ปุ่นและต่างประเทศ ออกมาเรียกร้องให้ KyoAni ทำซีซั่น 2 ของเรื่องนี้ต่อ อย่างไม่ขาดสายด้วย ..........เรียกได้ว่า ซีรี่ย์หนุ่มเจ้าสระอิสระเรื่องนี้ จะเป็นซีรี่ย์อนิเมขวัญใจเหล่าแม่ยกประจำปี 2013 ก็ไม่ผิดนักหรอก!!!! Free! อนิเมแนวว่ายน้ำเน้นมิตรภาพของเหล่าชายหนุ่มวัยรุ่น ดัดแปลงมาจากนิยายชุด High Speed ของโคจิ โอจิ นิยายดีกรีรางวัลชมเชยของ Kyoto Animation Award เป็นเรื่องราวของ ฮารุกะ ที่ต้องกลับมารวมตัวกับ มาโคโตะ , นางิสะ เพื่อนสมัยเด็กของเขา รวมกับสมาชิกหน้าใหม่อย่าง เรย์ ในการจัดตั้งชมรมว่ายน้ำของโรงเรียนอิวาโทบิ เพื่อเข้าร่วมแข่งขันและดวลกับ ริน เพื่อนสมัยเด็กของฮารุกะ ที่กลับกลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเขาตอนม.ปลาย จากความนิยมของเรื่องนี้เอง มีผลทำให้ นิยายต้นฉบับได้รับการตีพิมพ์วางขายเต็มตัวในญี่ปุ่น ถึง 2 เล่ม ด้วยกัน และด้วยความแรงของเหล่าเด็กหนุ่มจ้าวสระกลุ่มนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่แฟนๆในบ้านเราจะได้สัมผัส ร่วมว่ายน้ำไปกับพวกเขา กับฉบับ LC ในอนาคตที่ค่ายกุหลาบแดงบ้านเราคว้าไปกิน
Aku no Hana : บุปผาปีศาจงาม แสนฉาว ร้อนแรงไม่แพ้กัน!! มาถึงซีรี่ย์การ์ตูน-อนิเมอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงไม่แพ้กัน ในแง่ของความดาร์กความฉาวของเนื้อเรื่อง จนเกิดเป็นความโรแมนซ์ด้านมืดของเหล่าตัวละครซะจนหลายคนพากันลุ้นติดตามกันในทุกๆเดือน กับ ซีรี่ย์บุปผาปีศาจ Aku no Hana หรือ รักโรคจิต ในชื่อภาษาไทยที่ตั้งมาอย่างดิบๆจาก สนพ.บ้านเรา และจากการที่เรื่องนี้มีกระแสบอกกันปากต่อปากจากคนอ่านฉบับมังงะจนได้รับความนิยมฮือฮาในระดับหนึ่ง ในที่สุด เรื่องนี้ก็ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมซีรี่ย์ออกฉายทางทีวีเมื่อเดือน เม.ย. 2013 ซึ่งการมาฉบับอนิเมเรื่องนี้นั้น ก็กระแสแรงไม่แพ้กัน!!...............แต่เป็นฟีดแบ็คแง่ลบของเหล่าแฟนๆที่พอเห็นภาพในฉบับอนิเมของเรื่องนี้แล้ว ก็พากันรับไม่ได้ พร้อมสบถต่างๆนานาว่า "What the Fxck!!" "นี่ใช่เรื่องเดียวกันจริงหรือนี่!?" "ทำไมลายเส้นอนิเมมันช่างไม่น่ารักโมเอ้ตามต้นฉบับว้า" เป็นต้น ซึ่งเรื่องของเรื่องนั้น ก็มาจากการที่ทางผกก.และสต๊าฟของเรื่องนี้ได้เลือกเอาเทคนิค rotoscope มาใช้ในการผลิตอนิเมชุดนี้ ซึ่งเทคนิคดังกล่าวเป็นการทำอนิเมโดยใช้ภาพวีดิโอที่ถ่ายจากคนจริงๆ และมีการวาดภาพทับกันอีกที จนได้ภาพตัวการ์ตูนที่ดูเหมือนคนจริงๆ ทว่า จากความแนวที่ผกก.ต้องการนำเสนอนั้น กลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทำเอาฟีดแบ็คของฉบับอนิมของเรื่องนี้ออกมาไม่ดีซะเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้เทคนิคดังกล่าวกับอนิเมชุดนี้ กลับสร้างความรู้สึกปวดตับยิ่งกว่าฉบับมังงะซะอีก (เอ๊ะ ยังไง!!) Aku no Hana เป็นผลงานของ อ.ชูโซ โอชิมิ โดยหยิบเอาประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่เขาเคยประสบ มาดัดแปลงกลายเป็นเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของ คะสุกะ เด็กหนุ่มอ่อนแอ ผู้ชื่นชอบนิยายของ Baudelaire เป็นชีวิตจิตใจ ได้แอบชื่นชอบ ซาเอกิ เด็กสาวคนงาม ดาวประจำชั้น ซะจนพลั้งเผลอขโมยชุดพละของซาเอกิ ไป ทว่า นากามุระ สาวน้อยสุดน่าชัง กลับเห็นการกระทำของเขาเข้า เลยออกมาขู่แบล็คเมล์สารพัด พร้อมกับบีบบังคับให้คะสึกะทำสัญญากับเธอ หากไม่อยากให้ความลับนี้รั่วไหลถึงทุกคน ทำเอาเขาจำต้องทำสัญญากับเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในระหว่างนั้น ก็ได้เกิดเรื่องราวความสัมพันธ์แบบแปลกๆของเด็กหนุ่มวัยรุ่นผู้อ่อนแอปวกเปียก กับ เด็กสาว 2 คน ผู้มีลักษณะนิสัยแตกต่างราวกับฟ้า-เหว ..........โดยเรื่องนี้มีจุดเด่นตรงการนำเสนอเรื่องราวด้านมืดของวัยรุ่นอย่างถึงพริกถึงขิง ค่อนข้างจะแรงมาก ซะจนหาความจรรโลงใจยาก และไม่เหมาะสมสำหรับนักอ่านบางกลุ่ม (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกโลกสวย)
ปิดฉากดราม่าแห่งปี : คุณน้องสาว Oreimo จบแบบเดือดๆของเหล่ากองอวย!!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นิยายเล่มจบเรื่องนี้จะออกวางจำหน่ายในญี่ปุ่น ก็ได้มีคนสปอยเรื่องราวตอนจบบางส่วนบนโลกไซเบอร์ พร้อมกับโพสต์ภาพทำลายนิยายเรื่องนี้จำนวนหนึ่งด้วย และจากภาพซากนิยายที่ฉีกขาดนี่เอง ก็เล่นเอาบางคนเชื่อซะสนิทว่าฉีกเพราะไม่พอใจตอนจบของเรื่องนี้ที่ไม่เป็นดั่งหวังของตน (ทั้งๆที่ภาพดังกล่าวมีการฉีกนิยายก่อนหน้านี้หลายวัน ก่อนที่เล่มจบจะออกมาซะอีก) .......... แม้ฟีดแบ็คของแฟนๆส่วนหนึ่งจะออกมาอย่างรุนแรง แต่ ซึคาสะ ฟูชิมิ ผู้แต่งนิยายชุดนี้ก็หาได้สนใจพวกเขาไม่ พร้อมกับประกาศทำผลงานนิยายชุดใหม่ของเขาออกแล้ว (ซึ่งก็เป็นแนวพี่ชาย-น้องสาวเหมือนกันเด๊ะ) ซึ่งมีกระแสการตอบรับเล่มแรกค่อนข้างดีทีเดียว และจากฉากจบของคุณน้องสาวอันสุดจะผิดหวังช้ำใจแฟนๆนี้ ก็ได้สร้างความฮือฮาในระดับหนึ่ง ในช่วงที่ฝูงยักษ์ไททันกำลังอาละวาดบนจอจนแฟนๆพากันติด เลยทีเดียว!!
จากการกลับมาของ IS ก็ทำเอาสงครามของเหล่ากองอวย(นางเอก)ได้ระอุเดือดขึ้นอีกรอบ และทวีความเดือดเพิ่มเติมยิ่งขึ้น (จากการที่อนิเม SS2 มีตัวละครหญิงเพิ่มอีก 2 คน) แม้ผลของสงครามนี้จะออกมาแล้ว แต่เชื่อว่ามันยังไม่สุดหรอก (ในเมื่อพระเอกมีสาวๆรายล้อมเต็มไปหมด แถมสาวๆก็ดันหลงรักพระเอกหมดเลยนี่สิ) ฉะนั้นกองกำลังสนับสนุนสาวๆในเรื่อง คงต้องคอยเอาใจช่วยในโปรเจ็คต่อๆไป (เริ่มจาก OVA ตอนใหม่ที่จะมาปี 2014).......แต่ที่แน่ๆ บ้านเรา ได้สัมผัสกับ มังงะ นิยายชุดใหม่ของ IS ,ได้สัมผัมกับอนิเม SS2 ในรูปแบบลิขสิทธิ์ (แถมได้ชมสดๆผ่าน app) รวมถึง ได้สัมผัสกับผู้แต่งตัวเป็นๆ เมื่อครั้งมาเยือนเมืองไทยในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติช่วงปลายปี 2013 อีกด้วย
Wolf Children เดินหน้าคว้ารางวัลเกียรติยศไม่ขาดสาย
โดยก่อนหน้าที่มิยาซากิจะประกาศรีไทร์อย่างเป็นทางการนั้น ก็มีกระแสข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเป็นระยะๆ และมิยาซากิ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวมาโดยตลอด จวบจนกระทั่ง หนัง Kaze Tachinu ( The Wind Rises ) ผลงานหนังอนิเมเรื่องล่าสุดจากการกำกับของเขาออกฉายที่ญี่ปุ่นไปได้ไม่นาน เขาได้ประกาศวางมือทันที ซึ่งสร้างความช็อคและใจหายแก่คออนิเมทั่วโลกไปตามๆกัน อย่างไรก็ตามก็มีแฟนอนิเมบางส่วนรู้สึกไม่เซอร์ไพรส์กับข่าวนี้เท่าไหร่ เพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนสูงอายุ ที่จำเป็นต้องหยุดพักจากทำงานหนักบ้างไรบ้าง และที่สำคัญ ตัวมิยาซากิเอง ก็มีอายุถึง 72 ปี แล้วด้วยเช่นกัน จากการปลดระวางของมิยาซากิ เท่ากับว่า Kaze Tachinu กลายเป็นหนังเรื่องสุดท้ายจากฝีมือการกำกับของเขา รวมถึงยังเป็นการสยบข่าวลือเกี่ยวกับ Nausicaa ที่มีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่าจะมีการทำภาคต่อด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากหยุดทำหนัง มิยาซากิ ก็ไม่ได้หยุดพักเสียทีเดียว เพราะเขาได้กลับมาเขียนการ์ตูนอีกครั้ง เป็นการ์ตูนซามูไรลงนิตยสารเล่มหนึ่ง ซึ่ก็สอดคล้องกับสิ่งที่มิยาซากิเคยบอกไว้ว่า เขาอยากจะทำในสิ่งที่เขาอยากทำที่สุด หลังจากพักงานทำหนัง อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายฝ่ายที่ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุหลักที่มิยาซากิตัดสินใจรีไทร์จากการทำหนัง ซึ่งคาดการณ์ว่ามาจากปัญหาสุขภาพของเขาเป็นหลัก จากการที่เขาได้ถูกซักถามจากผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับน้ำหนักตัวเขาที่ลดลงไปจากเมื่อก่อน รวมถึงการที่มีคนพบเห็นเขาเข้ารับการตรวจโรคหัวใจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในโตเกียว ซึ่งมิยาซากิได้ประสบอาการเจ็บปวดบริเวณหน้าอกมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เช่นกัน ซึ่งข้อมูลอาการเจ็บป่วยของเขานั้นยังไม่ได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Ghibli แต่อย่างใด แต่ที่แน่ๆ แม้ว่ามิยาซากิจะประกาศรีไทร์ไป แต่อิซาโอะ ทาคาฮาตะ ผกก.ของ Studio Ghibli จากหนังเรื่อง Grave of the Fireflies,My Neighbors the Yamadas และเป็นเพื่อนซี้ของมิยาซากิ ยังเชื่อมั่นว่า เขาอาจกลับมาทำหนังอีกครั้งนึงก็เป็นได้ หากมีความเป็นไปได้พอสมควร แต่ที่แน่ๆ หลังจากมิยาซากิประกาศรีไทร์ไปไม่กี่วัน ก็ได้ส่งผลต่อหนังอนิเมของ Ghibli ที่มียอดขายและยอดเช่าแผ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการที่แฟนๆพากันเช่า-ซื้อหนังเก็บไว้เป็นที่ระลึก ขณะที่ ช่อง NTV ของญี่ปุ่น ถึงกับต้องเปลี่ยนผังรายการไปออกฉายอนิเม Porco Rosso ของมิยาซากิ แทนหนัง X-Men Origins: Wolverine รวมไปถึง Kaze Tachinu หนังเรื่องสุดท้ายจากการกำกับของเขา มีแฟนๆแห่กันเข้าไปชมมาก ซะจนทำให้เรื่องนี้สามารถโกยรายได้อันดับ 1 Box Office ญี่ปุ่น 8 สัปดาห์ติดต่อกัน เท่านั้นไม่พอ หนังเรื่องนี้ก็เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์หนังจากหลายประเทศจนสามารถคว้ารางวัลต่างๆมาประดับมือ อีกทั้งยังมีลุ้นเข้าชิงรางวัลระดับนานาชาติหลายรายการอีกด้วย
1 ปี ผ่านไป นักบาสคุโรโกะยังถูกคุกคาม.....แต่ก็พ้นเคราะห์กรรมในที่สุด หนึ่งในข่าวคราวที่มีคนคอยติดตามและคอยให้กำลังใจนักบาสหนุ่มจืดจางพร้อมผองเพื่อนหัวหลากสี Kuroko no Basket มาโดยตลอด หลังจากซีรี่ย์การ์ตูนบาสฯของ อ.ทาดาโทชิ ฟูจิมากิ เรื่องนี้ ถูกบุคคลผู้ไม่หวังดีออกมาข่มขู่เป็นระยะๆ ทั้งส่งจดหมายขู่ไปยังสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคุโรโกะ , การส่งข้อความข่มขู่บนเว็บบอร์ด รวมถึงการวางยาสารเคมีในมหาวิทยาลัย Sophia ที่ อ.ฟูจิมากิ เคยศึกษาอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ต.ค.ปี 2012 เป็นต้นมา แม้ว่าในช่วงต้น-กลางปี 2013 ข่าวคราวเกี่ยวกับคดีนี้ก็เงียบหายไป ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆเกิดขึ้น จวบจนกระทั่ง อนิเมซีซั่น 2 ของคุโรโกะออกฉายช่วงเดือน ต.ค. 2013 นี่เอง การข่มขู่ปองร้ายคุโรโกะได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากจนท.ตำรวจได้รับแจ้งว่า ร้าน 7-Eleven , ร้านค้าสะดวกซื้อ รวมถึงบริษัทและสื่อต่างๆ ต่างได้รับจดหมายข่มขู่ที่เกี่ยวข้องกับคุโรโกะ พร้อมกับมีการวางสารเคมีปนเปื้อนไปยังผลิตภัณฑ์ขนมของคุโรโกะในร้านสะดวกซื้อดังกล่าวด้วย และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ร้านค้าจำนวนหนึ่งตัดสินใจระงับการวางขายสินค้าคุโรโกะออกไป เช่นเดียวกับร้านเช่าวีดีโอ Tsutaya กับ ร้านหนังสือ Yurindo ต่างตัดสินใจเอาแผ่นอนิเม-หนังสือการ์ตูนคุโรโกะออกจากชั้นวางของชั่วคราว รวมไปถึงงานอีเว้นต์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคุโรโกะ จำต้องยกเลิก-เลื่อนออกไป หรือไม่ก็ มีกิจกรรมคุโรโกะตามเดิม แต่เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับวันที่ 4 พ.ย. 2013 วันสุดท้ายของงานเทศกาลมหาวิทยาลัย Sophia (X-Day) วันที่คนร้ายได้เขียนระบุไว้บนจดหมายขู่นั้น คือวันที่จนท.ต้องจับตามากเป็นพิเศษ และเอาเข้าจริงสถานการณ์คับขันของเรื่องนี้ก็ได้ผ่านพ้นไปโดยที่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ในช่วงที่คนร้ายกำลังได้ใจกับการข่มขู่คุโรโกะอย่างต่อเนื่อง จนท.ญี่ปุ่นก็ยังไม่นิ่งนอนใจในการตามหาตัวคนร้าย (แม้ว่าจะทำงานล่าช้าไม่ทันใจแฟนๆก็ตาม) พวกเขาก็ทยอยได้เบาะแสเกี่ยวกับผู้ต้องหาในคดีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด พวกเขาสามารถรวบตัวคนร้ายตัวจริงผู้ก่อคดีนี้ได้สำเร็จในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2013 ซึ่งผู้ต้องหานั้นเป็นชายหนุ่มวัย 36 ปี และได้ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา โดยกล่าวว่า ที่เขาทำไปก็เพราะอิจฉา อ.ฟูจิมากิ ที่สามารถสร้างผลงานการ์ตูนของตนให้โด่งดังเป็นที่รู้จักจนประสบความสำเร็จอย่างสูง ผิดกับเขาที่เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ จนไม่มีใครมาแล และด้วยความอิจฉาริษยา (บวกกับโรคจิตอ่อนๆ)ของเขา จึงทำให้เกิดคดีอันแสนวุ่นวายเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องนับปีกว่าๆ ดั่งเช่นคดีนี้!!!! ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ครั้งหนึ่งเคยมีความฝันอยากทำงานในวงการการ์ตูนอนิเม อยากจะมีซีรี่ย์ของตัวเองได้ตีพิมพ์ลงในโชเน็นจัมป์ แต่ทว่าเขากลับทิ้งโอกาสนี้ไป เมื่อเขาได้ลาออกจากโรงเรียนวีชาชีพด้านอนิเมกลางคัน และที่สำคัญ ตัวเขานั้นไม่ได้เป็นคนสนิทคุ้นเคยกับอ.ฟูจิมากิ ตามที่ได้เคยกล่าวอ้างไว้บนจดหมายขู่แต่อย่างใด จากการจับกุมคนร้ายตัวจริงในคดีนี้ได้ ทำให้คุโรโกะผ่านพ้นเคราะห์กรรมซะที หลังต้องมาเผชิญมา 1 ปีกว่าๆ และที่สำคัญ มีผลทำให้สินค้าและงานอีเว้นต์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง กลับมาวางขาย-กลับมาจัดอีกครั้ง หลังจากยกเลิก-เลื่อนกำหนดมานาน และจากคดีนี้ก็พอจะสรุปได้ว่า คุโรโกะ ตกเป็นจำเลยของคนๆหนึ่งที่ไม่คิดจะสู้ไม่คิดจะพยายาม เก่งแต่ใช้วิธีทางที่ผิด ไปเต็มๆ ซึ่งเป็นบทเรียนให้ใครหลายคนได้ตระหนักว่า เราควรจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีที่สุด ทำอย่างเต็มที่ หากไม่สำเร็จ เราก็ยังลุกขึ้นมาเดินใหม่ได้ หรือถึงแม้ไม่อาจเดินทางตามความฝันที่ตนหวังได้ ก็ยังมีหนทางอื่นที่สามารถทำให้เราใช้ชีวิตได้เช่นกัน....ไม่ใช่มามัวแต่หมดอาลัยตายอยาก แล้วมาเกรียนใส่ชาวบ้านจนคนอื่นเดือดร้อนไปทั่ง ดั่งเช่นกรณีนี้!!!!
45 ปี ฉลองใหญ่ Sazae-san ก้าวสู่วิธีการผลิตอนิเมแบบแผนใหม่
สำหรับ Sazae-san แม้ว่าคอการ์ตูนบ้านเราจะไม่รู้จักมักจี่เรื่องนี้กันเท่าไหร่ แต่สำหรับที่ญี่ปุ่นนั้น การ์ตูนอนิเมซีรี่ย์แนวครอบครัวเรื่องนี้นั้น เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญเรื่องนี้ยังเป็นอนิเมซีรี่ย์ที่ยังคงทำเรตติ้งได้สูงเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น แถมยังออกฉายอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น และ ของโลก ซึ่งในปี 2013 นี้ ก็เป็นปีที่เรื่องนี้ได้ออกฉายเป็นปีที่ 45 แล้ว แน่นอนว่า คุณป้าซาซาเอะ และครอบครัว ได้รับการฉลองอย่างยิ่งใหญ่อีกเช่นกัน นับตั้งแต่การได้รับการรับรองสถิติโดย Guinness World Records ในฐานะที่เรื่องนี้เป็นรายการอนิเมชั่นที่ออกฉายยาวนานที่สุดในโลก เมื่อต้นเดือน ก.ย. 2013 จนกระทั่งงานฉลองใหญ่จาก Fuji TV สถานีทีวีคู่บุญที่ออกฉายอนิเมเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน ที่ได้ออกฉายรายการพิเศษแนววาไรตี้ และ ละครซีรี่ย์ชุด Hasegawa Machiko Monogatari ~Sazae-san ga Umareta Hi~ ละครดัดแปลงจากชีวประวัติของ อ.มาจิโกะ ฮาเซงาวะ ผู้แต่งการ์ตูนเรื่องนี้ โดยอ้างอิงจากหนังสือการ์ตูนแนว essay ชุด Sazae-san Uchiake Banashi อีกด้วย และในเมื่อเรื่องนี้มีการออกฉายถึง 45 ปีทั้งที ก็เลยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเรื่องนี้ ซึ่งเล่นเอาแฟนๆเซอร์ไพรส์กันเลย นั่นคือ การปรับเปลี่ยนวิธีการทำอนิเมชั่นใหม่ไปเป็นรูปแบบดิจิตอลเต็มตัว เมื่อ ต.ค. 2013 จากเดิมที่เรื่องนี้ยึดวิธีทำอนิเมชั่นแบบดั้งเดิมมานาน ซึ่งก็คือ การไล่วาดภาพเคลื่อนไหวบนแผ่นเซลใสไล่เรียงไปแต่ละแผ่นๆ อย่างต่อเนื่อง และจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเรื่องนี้นั้น เท่ากับว่า ตอนนี้ไม่มีอนิเมซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่องไหนเลยที่ใช้กรรมวิธีการทำอนิเมชั่นแบบดั้งเดิมอีกต่อไปแล้ว โดยอ้างอิงจากข้อมูลของสมาคมอนิเมชั่นญี่ปุ่น ที่เคยระบุว่า Sazae-san คือ อนิเมเรื่องเดียวที่ยังคงออกอากาศ โดยใช้วิธีการวาดภาพลงแผ่นเซลในการทำอนิเมชั่น และถ้าหากเรื่องนี้เปลี่ยนไปทำอนิเมแบบดิจิตอลเมื่อไหร่ จะไม่มีอนิเมที่ใช้วีธีการแบบนี้หลงเหลืออยู่อีกเลย....แม้ฟังแล้วรู้สึกน่าใจหายไปซักนิด แต่อย่างน้อยการปรับเปลี่ยนวิธีการทำอนิเมชั่นให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เนี่ย ก็ถือเป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว และที่สำคัญ การทำอนิเมชั่นแบบดิจิตอลนั้น จะช่วยลดต้นทุนการผลิตมากกว่าแบบเก่านั่นเอง
เทรนด์นิยม : เมื่อจอมมาร-ผู้กล้า ทยอยเล่าใหม่ ในรูปแบบอนิเม
ซึ่งการที่เรื่องนี้ได้ทยอยได้รับการทำเป็นอนิเมนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากความสำเร็จของเรื่องเหล่านี้ในฉบับนิยายนั่นเอง (โดยเฉพาะกับ Maoyu นั้น เป็นที่รู้จักสมัยตอนที่เรื่องนี้มีการตีพิมพ์ในเว็บบอร์ดแล้ว)
|
สำนักข่าว KD News |